ผลเลือกตั้งสหรัฐ 2020 กูรูชี้ “ทรัมป์-ไบเดน” ใครชนะ‘ไทยก็อ่วม

04 พ.ย. 2563 | 05:59 น.

กูรูชี้ “ทรัมป์-ไบเดน” ผลเลือกตั้งสหรัฐ 2020 ใครผู้นำมะกันคนใหม่ ไทยก็อ่วม กระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ฟันธงเทรดวอร์ยื้อต่อ เทควอร์เพิ่มความรุนแรง มีโอกาสถูกตัด GSP เพิ่ม กลับร่วมวง CPTPP สะเทือนส่งออกไทยไปสหรัฐฯ เสียเปรียบ 4 ชาติอาเซียน

การเลือกตั้งสหรัฐ 2020 ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ที่ทั่วโลกลุ้นระทึกและจะทราบผลอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า ไม่ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จะได้รับความไว้วางใจให้นั่งเก้าอี้ต่อเป็นสมัยที่ 2 หรือจะร่วงจากเก้าอี้เปิดทางให้ โจ ไบเดน ผู้ท้าชิงผงาดครองตำแหน่งแทน

 

นโยบายที่จะขับเคลื่อนในอีก 4 ปีนับจากนี้ ล้วนจะมีแรงกระเพื่อมส่งผลกระทบต่อโลกและเศรษฐกิจไทยไม่มากก็น้อย จากสหรัฐฯเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจ และการเมืองระหว่างประเทศอันดับหนึ่งของโลก ขณะที่ความสำคัญของสหรัฐฯต่อไทยในแง่การค้าช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ สหรัฐฯถือเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของไทย(ไม่นับอาเซียน) รองจากจีน และในแง่การลงทุนในปี 2562 สหรัฐฯเป็นนักลงทุนอันดับ 6 ที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุน

นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า หากการเลือกตั้งสหรัฐ 2020 ทรัมป์ชนะได้เป็นประธานาธิบดีต่ออีกสมัย จากนโยบาย America First ทรัมป์อาจจะมีนโยบายที่จะดำเนินมาตรการต่างๆ กับประเทศที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯอย่างจีน และประเทศอื่น ๆ รวมทั้งไทยโดยใช้เหตุผลด้านสิทธิแรงงานในการตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) ไทยเพิ่ม ซึ่งหากทรัมป์ชนะมีโอกาสสูงที่มาตรการทบทวนการให้สิทธิ GSP จะถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ส่งออกไทยได้รับผลกระทบ

 

   วิศิษฐ์  ลิ้มลือชา

                                 

 

ขณะเดียวกันหากหลังการเลือกตั้งสหรัฐทรัมป์เป็นประธานาธิบดีต่อ การดำเนินมาตรการทางการค้าต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้า การตัดสิทธิ GSP และนโยบาย America First ยังคงดำเนินต่อเนื่อง แต่สถานการณ์อาจไม่รุนแรงเหมือน 4 ปีที่ผ่านมา เพราะมาตรการต่างๆ ที่ผ่านมาทำให้ทั่วโลกได้รับผลกระทบค่อนข้างรุนแรง

 

ส่วนผลการเลือกตั้งสหรัฐออกมาว่า ไบเดนได้เป็นผู้นำสหรัฐฯคนใหม่ จากนโยบายด้านเศรษฐกิจและการค้าของไบเดนที่จะเปิดเสรีตามระเบียบปฏิบัติสากล ดังนั้นมีโอกาสที่ไบเดนจะนำสหรัฐฯกลับมาอยู่ในกติกาขององค์การการค้าโลก(WTO) ย่อมมีมากกว่าทรัมป์ และมีโอกาสที่ไบเดนจะนำสหรัฐฯกลับเข้าร่วมกรอบความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP หรือ TPP ในชื่อเดิม) เพื่อคานอำนาจจีนในภูมิภาคนี้ แต่บางส่วนของข้อตกลงต้องเจรจากันใหม่ เพราะก่อนหน้านี้ไบเดนเป็นผู้สนับสนุน TPP

 

ผลเลือกตั้งสหรัฐ 2020 กูรูชี้ “ทรัมป์-ไบเดน”  ใครชนะ‘ไทยก็อ่วม

 

“ต้องรอลุ้นผลการเลือกตั้งของสหรัฐ แต่จากที่เปรียบเทียบนโยบายด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนแล้ว ไบเดน มีความเป็น Trade Liberalize(เปิดเสรีทางการค้า)มากกว่าทรัมป์ ซึ่งอาจจะเอื้อประโยชน์กับไทยมากกว่าที่ผ่านมา แต่ต้องไม่ลืมว่าชาวอเมริกันพอใจในเรื่องเศรษฐกิจของทรัมป์มาโดยตลอด เสียแค่การบริหารจัดการโควิดที่ทำให้คะแนนนิยมหายไปพอสมควร”

ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์ และการเมือง กล่าวว่า การเลือกตั้งสหรัฐ 2020 ไม่ว่าทรัมป์ หรือไบเดนจะได้เป็นผู้นำคนใหม่ จะส่วนผลบวก และผลลบต่อการค้า การลงทุนไทย-สหรัฐฯพอ ๆ กัน ซึ่งหากไบเดนชนะและนำสหรัฐฯกลับเข้าร่วม TPP ขณะที่ไทยยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเข้าร่วมการเจรจาหรือไม่ ผลที่จะตามมาคือ คู่แข่งขันในอาเซียน เช่น เวียดนาม สิงคโปร์ มาเลเซีย และบรูไน ที่เข้าร่วมความตกลง CPTPP แล้วจะยิ่งได้เปรียบในการทำการค้า การลงทุนกับสหรัฐฯเพิ่มขึ้น โดยสินค้าที่ส่งออกไปสหรัฐฯจะได้รับการยกเว้นหรือเสียภาษีต่ำ ขณะที่สินค้าไทยจะเสียเปรียบจากยังต้องเสียภาษีในอัตราปกติ

สมชาย  ภคภาสน์วิวัฒน์

“ไม่ว่าไบเดนหรือทรัมป์ชนะเลือกตั้งสหรัฐ นโยบายกีดกันการค้าที่มีต่อจีนก็ยังคงอยู่ แต่ของทรัมป์กีดกันแบบปูพรมทุกสินค้า ซึ่งจะกระทบถึงสินค้าไทยที่มีส่วนได้-เสีย แต่หากไบเดนมาอาจปรับลดภาษีสินค้าลงในส่วนที่กระทบผู้บริโภคสหรัฐฯ รวมถึงการต่อต้านเทคโนโลยีจีนก็ยังอยู่ แต่ในส่วนของไบเดนจะใช้วิธีร่วมมือกับยุโรปเล่นงานจีน

 

อัทธ์  พิศาลวานิช

 ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า หากทรัมป์ชนะเลือกตั้งสหรัฐ สงครามการค้ายังอยู่ และจะเข้มข้นมากขึ้นเพราะมั่นใจเพิ่มว่าได้รับการเลือกตั้งเป็นครั้งที่สอง จะกระทบสินค้าไทยที่ส่งไปจีนเพื่อผลิตส่งออกต่อไปสหรัฐฯได้ลดลง และโอกาสที่ไทยจะโดนตัด GSP เพิ่มยังมีอยู่

 

แต่หากไบเดนชนะเลือกตั้ง โอกาสที่ไทยจะถูกตัด GSP ก็มีเช่นกัน โดยอาจชูประเด็นไทยมีการพัฒนาเศรษฐกิจดีขึ้นกว่าในอดีต ดังนั้นการปรับตัวของภาคการผลิตไทยคือ ควรพึ่งพาตลาดเอเชียและอาเซียนมากขึ้น ฟื้นกรอบเจรจาความตกลงทางการค้าและการลงทุน (TIFA) กับสหรัฐฯ เพื่อทำ FTA ระหว่างกัน เป็นต้น

 

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจหน้า 1 ฉบับที่ 3624 วันที่ 5-7 พฤศจิกายน 2563