เมื่อสระว่ายน้ำกลายเป็นสิ่งจำเป็นในปัจจุบัน J.D. Pools พร้อมเดินหน้ารุกตลาดเชิงรุกปี 2568 ผนวกเทคโนโลยี–บริการ–แนวคิดสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกัน ตั้งเป้าโต 15% ในตลาดอสังหาฯที่ยังซึมตัว พร้อมวางบทบาทใหม่ให้สระว่ายน้ำกลายเป็น ‘มาตรฐานใหม่’ ของบ้านและโครงการที่อยู่อาศัย
ท่ามกลางกระแสอสังหาริมทรัพย์ไทยที่ยังรอการฟื้นตัวจากพิษเศรษฐกิจ และอีกหลายปัจจัยอื่นๆ หนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่ไม่ได้ถูกพูดถึงมากนักแต่กลับยังยืนอยู่ท่ามกลางวิกฤต ได้อย่างมั่นคง หนึ่งในนั้นคือ ธุรกิจสระว่ายน้ำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดเฉพาะที่ผู้เล่นส่วนใหญ่เป็นผู้รับเหมาทั่วไป ไม่มีแบรนด์แข็งแรงมากนัก J.D. Pools กลับสามารถสร้างชื่อในฐานะผู้ผลิตสระว่ายน้ำสำเร็จรูปที่ครอบคลุมทั้งงานออกแบบ ผลิต ติดตั้ง และดูแลหลังการขายครบวงจรมายาวนานกว่า 28 ปี และในปี 2568 นี้ บริษัทเตรียมปรับเกมครั้งใหญ่ ตั้งเป้าขยายทั้งตลาดในประเทศ–ราชการ–อสังหาฯ ด้วยการผสานเทคโนโลยีอัจฉริยะเข้ากับวัสดุรักษ์โลก เพื่อยกระดับธุรกิจสระว่ายน้ำให้กลายเป็น “สิ่งจำเป็น” ที่บ้านและโครงการยุคใหม่ควรมี
นายธนูศักดิ์ พึ่งเดช ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ.ดี.พูลส์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสระว่ายน้ำสำเร็จรูป เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจในปี 2568 บริษัทจะเน้นกลยุทธ์การตลาดเชิงรุกมากขึ้น โดยปรับเปลี่ยนบทบาทจากผู้จำหน่ายสระว่ายน้ำ ไปสู่ผู้ให้บริการครบวงจร พร้อมขยายกลุ่มเป้าหมายจากลูกค้ารายบุคคลสู่ตลาดโครงการและหน่วยงานราชการ
โดยปัจจุบัน J.D. Pools มีสัดส่วนลูกค้าบ้านพักอาศัยส่วนตัว 60% และกลุ่มเชิงพาณิชย์ เช่น รีสอร์ทและวิลล่า อีก 40% ซึ่งแนวโน้มกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ยังมีความต้องการเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวและเมืองรอง ส่วนการส่งออกซึ่งเคยทำตลาดในเมียนมาและอินเดีย ปัจจุบันชะลอตัวจากต้นทุนโลจิสติกส์ที่สูงขึ้นหลังโควิด จึงหันมาเน้นตลาดในประเทศมากขึ้น
“สระว่ายน้ำเคยถูกมองว่าเป็นของฟุ่มเฟือย แต่ปัจจุบันกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ผู้ประกอบการใส่ไว้ในโครงการเพื่อเพิ่มความน่าสนใจในการขาย เช่น วิลล่าและโครงการบ้านเดี่ยวระดับกลาง–บนที่เน้นคุณภาพชีวิต” นายธนูศักดิ์กล่าว
ซึ่งหนึ่งในจุดแข็งของบริษัทคือการพัฒนาเทคโนโลยีเข้ามาเสริมการให้บริการ โดยเฉพาะระบบตรวจสอบคุณภาพน้ำและอุปกรณ์ผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ ซึ่งสามารถควบคุมระบบกรอง แจ้งเตือนสารเคมีหมด และสั่งการได้จากระยะไกล รวมถึงระบบกรองไร้ท่อและอุปกรณ์ทำความสะอาดอัตโนมัติที่ช่วยเพิ่มความสะดวกให้ลูกค้า
อีกทั้ง บริษัทวางแผนต่อยอดเทคโนโลยีดังกล่าวเพื่อขยายงานบริการหลังการขายให้ครอบคลุมลูกค้าทั่วประเทศ โดยขณะนี้มีลูกค้าที่เคยติดตั้งสระแล้วกว่า 18,500 ราย ซึ่งจะเป็นฐานสำหรับให้บริการและเสนอเทคโนโลยีใหม่เพิ่มเติม เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมและสร้างความผูกพันระยะยาว
“เราไม่ได้ขายแค่สระ แต่กำลังสร้างระบบบริการที่ลูกค้ารู้สึกได้ว่าได้รับการดูแลตลอดเวลา ผ่านระบบ AI ที่ตรวจสอบคุณภาพน้ำและแจ้งเตือนโดยไม่ต้องพึ่งช่างประจำ” นายธนูศักดิ์กล่าวเสริม
สำหรับตลาดใหม่ที่บริษัทตั้งเป้าในปีนี้ ได้แก่ ภาคราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมองสระว่ายน้ำในบทบาทที่สามารถเป็นเครื่องมือสนับสนุนสุขภาวะในชุมชน เช่น การลดอัตราการจมน้ำของเด็ก และส่งเสริมการออกกำลังกาย ซึ่งอยู่ในแนวนโยบายของหลายพื้นที่
“โครงการระดับชุมชนเป็นเป้าหมายที่เราให้ความสำคัญมากขึ้น เพราะนอกจากจะขยายตลาดแล้ว ยังเป็นการมีส่วนร่วมกับสังคมอย่างยั่งยืน” นายธนูศักดิ์กล่าว
ปัจจุบัน J.D. Pools มีโชว์รูม 22 จังหวัดทั่วประเทศ โดยมีกรุงเทพฯเป็นพื้นที่ที่มียอดขายสูงสุด แต่ต่างจังหวัดโดยรวมมียอดรวมมากกว่า ซึ่งสะท้อนแนวโน้มการกระจายตัวของความต้องการสระว่ายน้ำที่กว้างขึ้น
ในด้านสิ่งแวดล้อมที่บริษัทยังคงมีการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อ โดยได้ปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตโดยใช้วัสดุทดแทน เช่น ไม้รีไซเคิล แทนไม้จริง และ PVC liner แทนกระเบื้อง ลดการใช้ซีเมนต์ลง 30–40% ซึ่งช่วยลดภาระต่อสิ่งแวดล้อม และยังสามารถทนแรงสั่นสะเทือนได้ดี ไม่แตกร้าวจากแผ่นดินไหว
ทั้งนี้ บริษัทได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตในปี 2568 อยู่ที่ 10–15% โดยจะเน้นขยายช่องทางจำหน่าย เพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ และเจาะกลุ่มโครงการแนวราบ ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรอสังหาฯ เช่น NC Housing ที่เริ่มจับมือเพื่อแลกเปลี่ยนฐานลูกค้า และเสนอแพ็กเกจบ้านพร้อมสระว่ายน้ำในระดับราคาจับต้องได้
“ดีเวลลอปเปอร์หลายรายเริ่มมองว่าสระว่ายน้ำไม่ใช่ของแถมอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่ช่วยปิดการขาย และทำให้แบรนด์ดูพรีเมียมขึ้น” นายธนูศักดิ์กล่าวพร้อมย้ำว่า การเป็นผู้ผลิตในประเทศทำให้ J.D. Pools สามารถควบคุมต้นทุนและคุณภาพได้ดีกว่าผู้นำเข้า
อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดสระว่ายน้ำยังเป็นธุรกิจเฉพาะทางและมีผู้แข่งขันไม่มาก แต่ J.D. Pools มองว่าความท้าทายสำคัญคือการเปลี่ยนมุมมองของผู้บริโภคให้เห็นถึง “ความจำเป็น” ของการมีสระในบ้านหรือโครงการ และต้องแข่งขันกับระบบก่อสร้างแบบเดิมที่อาจมีต้นทุนต่ำกว่า
“เราต้องทำให้ผู้รับเหมาบ้านยอมรับเทคโนโลยีของเรา และใช้เป็นมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรม เพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุดจากความสะดวก ความปลอดภัย และบริการที่ตามมาภายหลัง” นายธนูศักดิ์กล่าว
พร้อมกับเชื่อว่าในช่วง 3–5 ปีข้างหน้า ตลาดสระว่ายน้ำจะมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มบ้านเดี่ยว–วิลล่า และหน่วยงานราชการ หากสามารถพัฒนาเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์และควบคุมต้นทุนได้ในระดับที่ผู้บริโภคทั่วไปสามารถเข้าถึงได้