KEY
POINTS
1 ในบรรดาซีอีโอแถวหน้าของเมืองไทย “อมรพันธุ์ อร่ามวัฒนานนท์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซี แวลู จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและส่งออกปลาทูน่ากระป๋อง และผลิตภัณฑ์ทูน่ารายใหญ่ของไทยไปในหลายตลาดทั่วโลกถือมีความโดดเด่น
ล่าสุดเพิ่งได้รับรางวัล The Leadership Award 2025 สาขา Global Expansion Award ที่ผ่านการกลั่นกรองความเหมาะสมจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากหอการค้าไทย มหาวิทยาลัยรามคำแหง ร่วมกับกองบรรณาธิการฐานเศรษฐกิจ
ทั้งนี้กลุ่มบริษัท ซี แวลู นอกจากทำธุรกิจทูน่ากระป๋องแล้ว ยังมีบริษัทในเครืออีกหลายบริษัทที่ทำธุรกิจผลิตและส่งออกอาหารทะเลแช่แข็ง อาหารสัตว์สัตว์เลี้ยง ปลากระป๋อง ห้องเย็น โลจิสติกส์ จัดสร้างและจัดจำหน่ายเครื่องจักร โดยมียอดขายในปี 2567 อยู่ที่ 35,000 ล้านบาท
“อมรพันธุ์” ทายาทธุรกิจรุ่น 2 ของตระกูล “อร่ามวัฒนานนท์” ย้อนอดีตไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ตนจำได้ว่า ทางกลุ่มมียอดค้าขายอยู่ประมาณ 250-300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาวันนี้ผ่านมา 20 ปียอดขายเติบโตเป็น 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหารคนที่เป็นปลากระป๋อง ทูน่ากระป๋อง อาหารสัตว์เลี้ยง และในช่วง 7 ปีที่ผ่านมามีการลงทุนมากกว่า 3,000 ล้านบาทในการขยายกำลังการผลิตและขยายโรงงาน เพื่อรองรับการส่งออก และรองรับดีมานด์ของลูกค้าทั่วโลก
“ในปีนี้สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าเราตัดสินใจได้ถูกต้องคือ การไม่หยุดลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อลดต้นทุน ถึงแม้จะรู้ว่ามีปัจจัยท้าทายอยู่ แต่ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วจนถึงต้นปีนี้ ทางกลุ่มได้ทุ่มงบลงทุน 1,000 ล้านบาท ในการสร้างโกดังแบบอัตโนมัติ ซึ่งผมมองว่าเป็นการรองรับการเติบโตของกลุ่มธุรกิจได้อย่างดีเยี่ยม
โกดังแห่งนี้สามารถรองรับได้ถึง 30,000 พาเลท และในทุกๆ ปี เราจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ปีละ 100 กว่าล้านบาท ขณะเดียวกันยังเตรียมงบอีก 1,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนในระบบบำบัดน้ำเสียที่ทันสมัย โดยมีเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกลง 60% ภายในอีก 5 ปี”
สำหรับความท้าทายของอุตสาหกรรมอาหาร ปัญหาใหญ่ที่สุดในเวลานี้คือเรื่องของค่าเงิน ที่ค่าเงินบาทมีความผันผวนสูงมาก ต้นปีอ่อนค่า กลางปีแข็งค่า แล้วก็แข็งมาก เมื่อเดือนสองเดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐก็ยังพอประคองได้ แต่มาสัปดาห์นี้หลุด 32 บาทเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นคิดว่าถ้าค่าเงินบาทแข็งเกินไป จะเป็นอุปสรรคที่ทำให้ผู้ประกอบการไทยอาจจะแข่งขันกับคู่แข่งได้ยากขึ้น ขณะเดียวกัน หวังว่าในปี 2569 จะได้เห็นค่าเงินบาทมาอยู่ในระดับ 33-34 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งมองว่าเป็นจุดสมดุลที่ดีของทั้งผู้นำเข้าและผู้ส่งออก
“รางวัล Global Expansion Award (การขยายสู่ตลาดโลก) ที่ได้รับในครั้งนี้ เป็นรางวัลที่เราได้รับจากการขยายออกไปนอกประเทศ ซึ่งรางวัลดังกล่าวผมมีความภูมิใจมาก ที่เป็นผู้ประกอบการที่สามารถขยายตลาดของสินค้าไทยไปทั่วโลกได้ ซึ่งเราพร้อมจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับบริษัทเอกชนในทุกขนาดและทุกอุตสาหกรรม ในการดำเนินธุรกิจอย่างซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา พร้อมกับสร้างธุรกิจให้มีความมั่นคง และยั่งยืนด้วยการเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจ และองค์กรผ่านการลงทุนในเรื่องของบุคคลากร และสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะเป็นการวางรากฐานระยะยาวเพื่อให้บริษัท Sea Value เป็นผู้นำทั้งทางด้านอาหารคน และอาหารสัตว์ตลอดไป”
“อมรพันธุ์” กล่าวอีกว่า ณ เวลานี้กลุ่มบริษัท ซี แวลู (Sea Value) ให้ความสำคัญกับ 3 เรื่องสำคัญได้แก่
1.ความยั่งยืนของธุรกิจ (Sustainability)โดยให้ความสำคัญกับความยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทานปลาทูน่าซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตปลากระป๋อง และอาหารสัตว์เลี้ยง จึงมีนโยบายที่เข้มแข็งในการจัดหาวัตถุดิบที่ผ่านการรับรองจากหน่วยงานระดับโลกเช่น MSC (Marine Stewardship Council) ทำให้มั่นใจได้ว่าทุกผลิตภัณฑ์ของ Sea Value มาจากปลาทูน่าที่ผ่านการจับที่ถูกต้อง ตรงตามกฎระเบียบสากล และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้
2.บุคลากร (People) โดยให้ความสำคัญกับการดูแลความเป็นอยู่ของพนักงานในทุกระดับ ยึดถือหลักการดูแลอย่างเท่าเทียมโดยไม่เกี่ยงกับเรื่อง เพศ เชื้อชาติ หรือ ศาสนา และยังมีการจัดทำมาตรฐานทางคุณธรรม และจริยธรรมอย่างเคร่งครัด เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับคู่ค้าทั้งในประเทศ และต่างประเทศ
3.สิ่งแวดล้อม (Environment) ให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมในทุกขั้นตอนของการผลิต มีการตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ในเบื้องต้นตั้งเป้าในการลดก๊าซเรือนกระจกลง 60% ภายในอีก 5 ปีรวมถึงการลงทุนอย่างต่อเนื่องในอนาคตเพื่อทำให้การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น
“Sea Value สามารถทำยอดขายได้ถึง 35,000 ล้าน บาทในปี 2567 เราเป็นผู้นำในการผลิต และส่งออกปลาทูน่ากระป๋อง และอาหารสัตว์เลี้ยงของโลก สินค้าที่ผลิตจากโรงงานในกลุ่ม Sea Value ถูกวางจัดจำหน่ายภายใต้แบรนด์สินค้าที่มีชื่อเสียงทั่วโลก และในปี 2568 บริษัทได้มีการลงทุนครั้งใหญ่เพื่อสร้างคลังเก็บสินค้าแบบอัตโนมัติ (AS/RS) และพัฒนาโรงงานในเครือให้เข้าสู่การเป็น Smart Factory 4.0 เพื่อลดการทำงานที่ซ้ำซ้อน และเพิ่มความสามารถของบุคลาการ และเครื่องจักรให้มีศักยภาพที่สูงขึ้น”
ทั้งนี้ในปี 2568 ยังถือว่าเป็นปีที่ดีของกลุ่มบริษัท Sea Value และน่าจะปิดยอดขายได้ใกล้เคียงกับปี 2567 ที่ 35,000 ล้านบาท ส่วนเป้าหมายปี 2569 บริษัทตั้งเป้าที่จะขยายตลาดปลากระป๋อง และอาหารสัตว์เลี้ยงไปอเมริกาใต้ และแอฟริกาตอนกลางให้มากขึ้น และตั้งเป้าในการเติบโตอยู่ที่ 5% โดยทุกอย่างต้องทำควบคู่ไปกับการหาวิธีลดต้นทุนอย่างมีเป้าหมาย และการเพิ่มประสิทธิภาพของบุคลากร และเครื่องจักร
ส่วนตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วโลกยังมีแนวโน้มที่ดีในปี 2569 ทาง Sea Value ยังมีความเชื่อมั่นอย่างสูงว่ายังสามารถเติบโตได้อีกมาก ซึ่งเป็นผลพวงจากการลงทุนอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต และขยายช่องทางจัดจำหน่ายผ่านแบรนด์ของบริษัทในเครือ และแบรนด์ของคู่ค้า
“อมรพันธุ์” ยอมรับว่า เศรษฐกิจไทย และเศรษฐกิจโลกในเวลานี้ ยังอยู่ในจุดที่มีความเปราะบางค่อนข้างสูง กำลังซื้อยังค่อนข้างอ่อนแอ และผู้บริโภคยังมองหาความคุ้มค่าเป็นหลัก การส่งออกยังมีความท้าทายเนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า และไม่อยู่ในระดับที่เอื้อต่อการส่งออก
อย่างไรก็ดี Sea Value ยังมุ่งมั่นในการพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์ในเรื่องของความคุ้มค่า และไลฟ์สไตล์ของคนทุกเพศทุกวัน โดยให้ความสำคัญกับคุณค่าทางโภชนาการทั้งในปลากระป๋อง และอาหารสัตว์เลี้ยง มีการพัฒนาสินค้าเพิ่มมูลค่า และสินค้าพร้อมทานโดยยึดถือความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ยกตัวอย่างเช่น ได้พัฒนาอาหารพร้อมทานผลิตจากทูน่าที่มีโปรตีนสูง ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดเด็กรุ่นใหม่ที่มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
Sea Value ยังมองว่าประเทศไทยต้องขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปี 2569 ด้วยการส่งออก และสินค้าจากประเทศไทยโดยเฉพาะหมวดเกษตร และอาหารยังเป็นที่ต้องการของหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนยังมีความต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐในเรื่องของการยกเว้นภาษีเพื่อกระตุ้นให้ภาคเอกชนมีการลงทุนต่อเนื่องเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชนไทย โดยรวมมองว่าปี 2569 เป็นปีที่ต้องเดินอย่างระมัดระวัง เพราะความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกยังคงอยู่ และความผันผวนนี้อาจลากยาวไปถึงปี 2570 ก็เป็นได้
“การให้โอกาส และมอบเวทีในการแสดงศักยภาพของคนรุ่นใหม่ถือเป็นนโยบายที่สำคัญ ที่ทาง Sea Value ยึดถือมาโดยตลอด ยกตัวอย่างเช่น ฝ่ายหุ่นยนต์ และระบบอัตโนมัติ ของเรามีความสามารถในการพัฒนา และสร้างเครื่องจักรขึ้นมาเองโดยยึดถือความต้องการของผู้ใช้อย่างส่วนโรงงานเป็นหลัก และเราถือคติว่าการได้ลองผิดลองถูกอย่างน้อยยังได้เพิ่มพูนประสบการณ์ และดีกว่าการที่นั่งอยู่เฉยๆ และไม่ได้ทดลองอะไรใหม่ๆเลย เราจะมีการย้ำกับทีมงานเสมอว่าผิดครั้งแรกเป็นครู จงเรียนรู้จากความผิดพลาดให้มากที่สุด และอย่าให้เกิดซ้ำเป็นอันขาด”อมรพันธุ์ กล่าวทิ้งท้าย