กทพ.จ่อควบรวมประมูล สร้าง "ทางด่วนกะทู้-ป่าตอง" ดึงเอกชนร่วมทุน

28 เม.ย. 2566 | 00:15 น.

ลุยต่อ "กทพ." เล็งควบรวมประมูลทางด่วนกะทู้-ป่าตอง และเมืองใหม่ – เกาะแก้ว – กะทู้ หลังเอกชนเมินชิงซองประมูล เร่งชงบอร์ดมาตรา 36 เคาะทางเลือก เตรียมรองรับงาน Specialize Expo หลังภูเก็ตเป็นเจ้าภาพภายในปี 71

รายงานข่าวจากการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการทางพิเศษ สายกะทู้-ป่าตอง จังหวัดภูเก็ต โดยระบุว่า ภายหลังที่ กทพ.เปิดประกวดราคาและให้เอกชนยื่นข้อเสนอร่วมลงทุนในโครงการดังกล่าวไปเมื่อวันที่ 7 เม.ย.ที่ผ่านมา และปรากฏว่าไม่มีเอกชนยื่นข้อเสนอ ซึ่งจากการพิจารณาข้อมูลและสอบถามความคิดเห็นภาคเอกชน มองว่าการลงทุนในโครงการมีระยะทางที่สั้นเกินไปและยังไม่คุ้มค่าต่อการร่วมลงทุน

กทพ.จ่อควบรวมประมูล สร้าง \"ทางด่วนกะทู้-ป่าตอง\" ดึงเอกชนร่วมทุน

"กทพ.อยู่ระหว่างทบทวนรายละเอียดโครงการ เพื่อให้โครงการยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง เพราะทางด่วนสายนี้ถือว่ามีความจำเป็นทางการลงทุนแก้ปัญหาการจราจรติดขัดในพื้นที่ และยังคุ้มค่าในด้านเศรษฐกิจจากการสนับสนุนการท่องเที่ยว"

รายงานข่าวจากกทพ.กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นเตรียมเสนอให้คณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 เป็นผู้พิจารณาแนวทางร่วมลงทุนที่เหมาะสม

กทพ.จ่อควบรวมประมูล สร้าง \"ทางด่วนกะทู้-ป่าตอง\" ดึงเอกชนร่วมทุน

สำหรับแนวทางเลือกของโครงการฯ เบื้องต้น กทพ.ได้ทบทวนและพบ 2 แนวทางเลือกที่เหมาะสม ประกอบด้วย

1.รอผลการศึกษาของโครงการทางพิเศษสายเมืองใหม่ – เกาะแก้ว – กะทู้ เพื่อเพิ่มแนวเส้นทางให้มีระยะทางยาวขึ้น และครอบคลุมทั้งโครงการ จูงใจเอกชนร่วมลงทุนมากขึ้น แต่แนวทางนี้จะทำให้ภาพรวมโครงการล่าช้าออกไป เพราะต้องรอผลการศึกษาสายเมืองใหม่-เกาะแก้ว-กะทู้แล้วเสร็จจึงจะประมูลได้ และเมื่อได้ตัวเอกชนร่วมลงทุนจึงจะเริ่มงานก่อสร้างทั้งสายกะทู้ - ป่าตอง และสายเมืองใหม่ - เกาะแก้ว – กะทู้ ดังนั้นอาจไม่ทันต่อเป้าหมายเปิดให้บริการรองรับจังหวัดภูเก็ตเป็นเจ้าภาพงาน Specialize Expo 2028 ในปี 2571

 

2.กทพ.จะเดินหน้าเปิดประมูลก่อสร้างงานโยธา สายกะทู้ - ป่าตอง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานอุโมงค์ทางลอดที่ต้องใช้เวลาก่อสร้างจำนวนมาก และจะดำเนินการควบคู่ไปกับการร่างเอกสารประกวดราคาจัดหาเอกชนร่วมลงทุนบริหารทางพิเศษตลอดเส้นทางสายกะทู้ - ป่าตอง และสายเมืองใหม่ – เกาะแก้ว - กะทู้ หลังจากได้ตัวเอกชนแล้ว ทางเอกชนจะต้องจ่ายค่าก่อสร้างงานโยธาสายกะทู้ - ป่าตองคืนให้กับ กทพ.ซึ่งแนวทางนี้จะทำให้งานก่อสร้างคืบหน้าต่อเนื่อง และทันต่อการเปิดให้บริการในปี 2571

 

รายงานข่าวจากกทพ.กล่าวต่อว่า ทั้ง 2 ทางเลือกนั้น กทพ. จะเสนอต่อคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา ม.36 พิจารณา โดยควบรวมแนวเส้นทางทั้งสายกะทู้ - ป่าตอง และสายเมืองใหม่ - เกาะแก้ว - กะทู้ เพราะจะจูงใจเอกชนร่วมลงทุนมากกว่า

 

 นอกจากนี้การทำให้ทั้งสองสายทางเป็นโครงการเดียวกัน เปิดประมูลจัดหาเอกชนร่วมลงทุนไปพร้อมกัน จะทำให้เกิดความคล่องตัวมากกว่า ส่วนจะใช้แนวทางใดก็ต้องอยู่ที่การพิจารณาของคณะกรรมการ ม.36 ว่าจะขัดต่อการร่วมลงทุนหรือไม่

 

"เรามองว่าโครงการนี้เร่งด่วน มีความจำเป็น และแนวทางที่ 2 คือการเริ่มประมูลงานก่อสร้างไปก่อนให้เอกชนมาจ่ายชดเชยภายหลังเป็นทางออกที่เหมาะสม”

 

ที่ผ่านมาโครงการสายกะทู้ – ป่าตอง กทพ.ได้ประกาศเชิญชวนเอกชนร่วมลงทุนไปเมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2565 ซึ่งเมื่อครบกำหนดการซื้อเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน ตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค.2565 ถึงวันที่ 25 ม.ค. 2566 ปรากฏว่ามีภาคเอกชน ประกอบด้วย บริษัทเอกชนไทยและบริษัทเอกชนต่างชาติ ให้ความสนใจซื้อเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชนรวมทั้งสิ้น จำนวน 13 ราย แต่เมื่อถึงกำหนดยื่นข้อเสนอในวันที่ 7 เม.ย.2566 กลับไม่มีเอกชนรายใดเข้ายื่นข้อเสนอ

 

 ทั้งนี้ กทพ.คาดว่ามีสาเหตุเนื่องจากสภาวะทางเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากสถานการณ์ต่างๆ อาทิ โรคระบาดจากเชื้อไวรัส Covid-19 ที่ส่งผลกระทบระยะยาว สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น ทำให้กระทบต่อต้นทุนการก่อสร้างจากเดิมเมื่อปี 2564 ได้ประมาณการไว้ในปีที่เริ่มก่อสร้างจำนวน 8,878 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอีกประมาณร้อยละ 10 จึงทำให้ไม่จูงใจเอกชนในการตัดสินใจเข้าร่วมลงทุนโครงการเท่าที่ควร

 

สำหรับโครงการสายกะทู้ - ป่าตอง เป็นโครงการก่อสร้างทางยกระดับมีอุโมงค์อยู่ในช่วงกลางของแนวเส้นทาง ระยะทางรวม 3.98 กิโลเมตร และมีด่านเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทาง จำนวน 1 แห่ง โครงการดังกล่าวมีมูลค่าเงินลงทุนรวม 14,670.57 ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน 5,792.24 ล้านบาท และค่าก่อสร้าง (รวมค่าควบคุมงาน) 8,878.34 ล้านบาท

 

 อย่างไรก็ตามกทพ.คาดการณ์ปริมาณจราจร ณ ปีเปิดให้บริการ ประมาณ 71,000 คันต่อวัน (รถยนต์ 36,000 คันต่อวัน รถจักรยานยนต์ 35,000 คันต่อวัน)