สหภาพฯลุ้นบอร์ดกทพ.ประชุม23 มค.นี้ เคลียร์คดีค่าโง่ทางด่วนข้อพิพาทอัปยศ

Thansettakij เว็บไซต์ข่าวฐานเศรษฐกิจ ผนวกไลฟ์สไตล์ Start up SMEs อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน การตลาด เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Breaking News อัพเดตข่าวล่าสุดที่นี่

สหภาพและพนักงานกทพ.ยกทัพบุกคมนาคมยื่นหนังสือติดตามการประชุมคณะกรรมการกำกับโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 ต่อกรณีค่าโง่ทางด่วนแสนล้านที่นับเป็นข้อพิพาทอัปยศที่มาจากคู่กรณีที่ได้รับสัมปทาน “อาคม” สั่งบอร์ดกทพ.หาความชัดเจน 23 ม.ค.นี้

นายกฤชเทพ สิมลี รองปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่าตามที่สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (สร.กทพ.) ได้เดินทางมากระทรวงคมนาคมเพื่อเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและขอให้ช่วยพิจารณาเกี่ยวกับประเด็นข้อกังวลของทางสหภาพฯ

โดยในวันนี้ได้มีการประชุมคณะกรรมการกำกับโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 ซึ่งได้มีการเสนอข้อมูลดังกล่าวเป็นการรายงานเพื่อรับทราบในครั้งนี้ด้วย อีกทั้งทางกระทรวงคมนาคมได้รับเรื่องไว้พิจารณาและทางกทพ.ก็ต้องรับเอาข้อกังวลดังกล่าวดำเนินการต่อไป

ทั้งนี้ในส่วนของการประชุมคณะกรรมการฯทางด่วนขั้นที่ 2 นั้นเป็นการรายงานความก้าวหน้าผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) ซึ่งได้มีการเร่งรัดผลการศึกษาของที่ปรึกษาว่าช่วงก่อนที่จะหมดสัญญาสัมปทาน 5 ปีว่ามีการศึกษาแนวทางการดำเนินการทั้ง 3 แนวทางและเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียหรือยัง โดยขณะนี้ก็ยังไม่มีข้อสรุปทางกทพ.จึงต้องสรุปแนวทางให้ชัดเจน เพื่อเสนอเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการฯและคมนาคมเพื่อพิจารณาต่อไป

“ส่วนกรณีก่อนหน้านี้ที่จะมีการใช้แนวทางการขยายสัมปทานออกไปให้เอกชนและยุติข้อพิพาทตามมติ ครม. นั้นยังไม่มีความคืบหน้าใดๆและยังไม่มีการเสนอเข้าในที่ประชุมคณะกรรมการฯเนื่องจากยังไม่ได้มีการรับรองมติจากคณะกรรมการกทพ.”

ด้านแหล่งข่าวระดับสูงของสหภาพกทพ. รายหนึ่งกล่าวว่า ต่อกรณีดังกล่าวทราบว่านายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้ลงนามในหนังสือส่งถึงบอร์ดกทพ. เพื่อให้เร่งหาความชัดเจนในเรื่องนี้ในวันที่ 23 มกราคม 2562

นอกจากนั้นแหล่งข่าวยังกล่าวถึงกรณีนี้ว่า กทพ.ให้บริการทางด่วนตั้งแต่ปี 2524 ในเส้นทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางด่วนขั้นที่ 1) สร้างโดยเงินงบประมาณของรัฐและหน่วยงานกู้เงินมาดำเนินการ ต่อมาก่อสร้างทางพิเศษศรีรัช (ทางด่วนขั้นที่ 2) แต่รัฐบาลให้เอกชนรับสัมปทานบริหารจัดการ 30 ปีตั้งแต่ปี 2533 – 2563 ซึ่งเอกชนรายดังกล่าว คือ บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (BECL) ที่ปัจจุบันคือ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ซึ่งเป็นเอกชนเพียงรายเดียวที่รับสัมปทานทางด่วน โดยมีเส้นทางบางปะอิน – ปากเกร็ด ที่รับสัมปทานโดยบริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือจำกัด (NECL) ในฐานะที่เป็นบริษัทในเครือของ BEM นั่นเอง

ประการสำคัญข้อพิพาทที่มีมูลค่าสูงทุกข้อพิพาทจึงล้วนมาจาก BEM ที่เป็นผู้ทำมาหากินโดยเก็บค่าผ่านทางให้บริษัทอย่างเป็นกอบเป็นกำ รายได้ของทางด่วนขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 ที่ต้องส่งให้ BEM ทุกๆวันประมาณวันละ 20 ล้านบาท ถึงปัจจุบัน BEM ได้เงินจากทางด่วนไปแล้วมากกว่า 1.6 แสนล้านบาท จากการลงทุนเพียง 1.6 หมื่นล้านบาท BEM จึงได้ผลตอบแทนเกินกว่าที่คาดไว้มากแล้วโดยที่ผ่านมาการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ทางด่วนดีขึ้นถูกปฏิเสธจากภาคเอกชนมาโดยตลอด ด้วยเหตุผลคือ จะหมดอายุสัมปทาน บริษัทไม่มีความคุ้มค่าที่จะลงทุน เช่น การสร้างทางขึ้นลงที่หมอชิต 2 เพื่อให้ทางด่วนขั้นที่ 2 สามารถช่วยลดการติดขัดของถนนปกติ แต่เมื่อได้สัมปทานทางด่วนศรีรัช-วงแหวนรอบนอก ซึ่งรายได้ค่าผ่านทางเป็นของ BEM ทั้งหมดก็พบว่าพร้อมจะก่อสร้างเพราะบริษัทได้ประโยชน์เต็มที่ในการเพิ่มรายได้จากรถที่มาใช้บริการทางด่วนเส้นนี้นั่นเอง

“คำถาม คือ แม้การให้สัมปทานจะอยู่บนพื้นฐานของการตกลงร่วมกัน ซึ่งต้องให้เอกชนมีความคุ้มค่า BEM จึงได้ยอมลงทุน แต่พบว่ายังมีการฟ้องข้อพิพาทตลอดระยะเวลา 30 ปี จากคดีแรกที่ กทพ. ต้องแพ้ในคดีที่รัฐบาลให้ต่อขยายทางยกระดับดอนเมือง-โทลล์เวย์ จากอนุสรณ์สถานไปถึงรังสิตในปี พ.ศ. 2539 ทั้งที่ กทพ. ได้แจ้งรัฐบาลแล้วว่ารัฐบาลได้เคยมีมติที่จะสร้างเพียงอนุสรณ์สถาน แล้วเอกชนก็ฟ้องเป็นคดีทันที นี่คือทางแข่งขันของทางด่วนบางปะอิน-ปากเกร็ดเป็นความต่อเนื่องอย่างแยบยลของเอกชนที่เข้ามาบริหารโครงการของรัฐแล้วมีแต่กำไร ข้อพิพาทจากคดีทางแข่งขันที่เรียกว่า “ค่าโง่ทางด่วน” ซึ่งเป็นข้อพิพาทอัปยศที่คน กทพ.ต้องกลืนน้ำตารับทั้งทั้งที่รู้เรื่องราวแต่ทำอะไรไม่ได้ นับเป็นประเด็นที่ต้องจับตามองอย่างไม่กระพริบ ว่าการต่ออายุสัมปทาน 37 ปี โดยยังคงเอารายได้ของทางด่วนขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 มาส่งให้เอกชนทุกวันคือการปล้นทรัพย์ของแผ่นดินหรือไม่”