กลุ่มสหภาพแรงงานกทพ.(สร.กทพ.) ยื่นหนังสือต่อประธานสภาผู้แทนราษฏรคัดค้านการต่อสัญญาสัมปทานกับกลุ่มBEM ที่ไม่เป็นไปตามมติครม.วันที่2 ตค.61 เนื่องจากไม่มีความชัดเจนเรื่องการบันทึกบัญชีตามมาตรฐานอาจจะส่งผลกระทบขาดทุนต่อกทพ.พร้อมสนับสนุนให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาการต่อสัญญาในครั้งนี
นายบัณฑิต พรึงลำภู เลขาธิการสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย(สร.กทพ.) เปิดเผยภายหลังนำกลุ่มสมาชิกสร.กทพ.ยื่นหนังสือต่อนายชวนหลีกภัยประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อคัดค้านการต่อสัญญาสัมปทานทางด่วนกับบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพจำกัด(มหาชน) หรือBEM เพื่อให้เกิดความรอบคอบและป้องกันมิให้ประเทศชาติประชาชนได้รับความเสียหายว่าตามที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)ได้มีมติเมื่อวันที่2 ตุลาคม2561 รับทราบรายงานผลคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด
โดยครม.เห็นว่าเพื่อบรรเทาความสูญเสียและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่รัฐและเพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์สูงสุดของทางราชการกรณีหน่วยงานของรัฐมีข้อพิพาทตามสัญญาอนุญาโตตุลาการหรือถูกฟ้องคดีต่อศาลปกครองเป็นคดีเดียวหรือหลายคดีในประเด็นเดียวกันหรือเกี่ยวเนื่องกันเช่นกรณีคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงคมนาคมโดยการทางพิเศษแห่งประเทศไทย(กทพ.) แล้วมีคำวินิจฉัยชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการซึ่งนำไปสู่การฟ้องคดีในศาลปกครองสูงสุดโดยผลของคำวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการนั้นให้หน่วยงานของรัฐต้องชดใช้ค่าเสียหายหรืออื่นใดจึงมีมติให้หน่วยงานของรัฐนั้นอาจดำเนินการเจรจาต่อรองกับคู่พิพาทเพื่อบรรเทาความเสียหายของรัฐและให้เกิดความเป็นธรรมแก่ราษฎรได้ทั้งนี้ให้ดำเนินการอย่างโปร่งใสชอบด้วยกฎหมายและคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญนั้น
“สร.กทพ. ทราบว่านายแพทย์ระวี มาศฉมาดล หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ได้เสนอญัตติด่วนเรื่องขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษากรณีการต่อสัญญาสัมปทานให้กับบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพจำกัด(มหาชน) เพื่อให้เกิดความรอบคอบและป้องกันมิให้ประเทศชาติประชาชนได้รับความเสียหาย”
ทั้งนี้สร.กทพ. ขอคัดค้านการต่อสัญญาสัมปทานที่ไม่เป็นไปตามมติครม. 2 ตุลาคม2561 ว่าให้หน้วยงานของรัฐนั้นอาจดำเนินการเจรจาต่อรองกับคู่พิพาทเพื่อบรรเทาความเสียหายของรัฐและให้เกิดความเป็นธรรมแก่ราษฎรทั้งนี้ให้ดำเนินการอย่างโปร่งใสชอบด้วยกฎหมายและคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ
นายบัณฑิตกล่าวอีกว่าการที่สร.กทพ. ยังคงออกมาคัดค้านการต่อสัญญาสัมปทานทั้งที่ลดระยะเวลาของสัญญาสัมปทานจาก37 ปี(มติคณะกรรมการกทพ. เมื่อวันที่20 ธันวาคม2503) เหลือ30 ปี(มติคณะกรรมการกทพ. เมื่อวันที่15 พฤษภาคม2560) เนื่องจากมีประเด็นสำคัญ6 ข้อดังนี้
1) ไม่มีความชัดเจนถึงที่มาของข้อมูลที่นำมาใช้เป็นแนวทางในการเจรจาและเป็นข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือเนื่องจากเป็นข้อมูลของที่ปรึกษาที่ยังมิได้ผ่านการตรวจสอบหรือตรวจการจ้างตามขั้นตอนของกฎหมาย
2) ไม่สามารถอธิบายได้ว่าผลการเจรจาเป็นการบรรเทาความเสียหายของรัฐอย่างไรได้มีการศึกษาหรือวิคราะห์ความคุ้มค่าของการขยายสัมปทานเพื่อใช้ประกอบการเจรจาต่อรองแล้วหรือไม่เนื่องจากมีการนำข้อพิพาทรวมเงินต้นและดอกเบี้ยอีกทั้งมูลค่าที่เอกชนยังไม่เรียกร้องมาเป็นเหตุในการต่อสัญญาสัมปทานซึ่งมูลค่าที่เอกชนยังไม่เรียกร้องยังมีประเด็นเรื่องของการตีความตามกฎหมายเรื่องของการขาดอายุความ
3) การต่อระยะเวลาของสัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่2 มีความจำเป็นอย่างไรที่จะต้องแบ่ง
รายได้ค่าผ่านทางของทางพิเศษเฉลิมมหานครให้เอกชนโดยที่กทพ. เป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมด
4) การให้สิทธิเพิ่มเติมจากสัญญาเดิมในการก่อสร้างทางด่วนชั้นที่2 (Double Deck) แลกกับ
สัมปทาน14 ปี4 เดือนมีมูลค่าที่แท้จริงเท่าไหร่มีการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการดังกล่าวแล้วหรือไม่เป็นการเอื้อประโยชน์กับเอกชนรายเดิมหรือไม่เหตุใดจึงไม่ทำให้เกิดการแข่งขันซึ่งรัฐจะได้ประโยชน์ในเรื่องราคาที่อาจต่ำลง
5) ร่างสัญญาที่นำเสนอคณะกรรมการกำกับโครงการระบบทางด่วนขั้นที่2 และบางปะอิน-
ปากเกร็ดใครเป็นผู้ร่างกทพ. ได้ตรวจสอบอย่างละเอียดรอบคอบแล้วหรือยังทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาการเกิดข้อพิพาทนำไปสู่การที่รัฐต้องเสียค่าโง่นับแสนล้านบาทดังเช่นปัจจุบันเหตุใดจึงต้องเร่งรีบดำเนินการทั้งที่สัมปทานมีมูลค่าหลายแสนล้านบาท
6) เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนเรื่องการบันทึกบัญชีตามมาตรฐานหากมีมติครม. ให้ดำเนินการ
ขยายระยะเวลาของสัญญาเดิมเพื่อยุติข้อพิพาท"กรณีกทพ. ต้องบันทึกบัญชีรับรู้รายการเป็นหนี้สินกทพ." จะประสบผลขาดทุนทันทีอีกหลายปีซึ่งไม่พ้นเป็นภาระของรัฐบาลเหตุใดไม่รอความชัดเจนในเรื่องดังกล่าว
“ยืนยันว่ายังไม่สายเกินไปที่จะแตะเบรกเรื่องดังกล่าวในตอนนี้ประการสำคัญสำนักงานอัยการสูงสุดให้ความเห็นมาปรับแก้ไขสัญญาตามที่สร.กทพ.มีข้อเสนอไป4-5 ข้อก่อนที่จะเสนอกระทรวงคมนาคมและเสนอครม.ต่อไป แม้อำนาจผู้บริหารระดับผู้ว่าการไม่มีในขณะนี้มีแต่รักษาการผู้ว่าการเท่านั้นก็ตาม”
ด้านนายแพทย์ระวี มาศฉมาดล หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่กล่าวว่าไม่มีใครในประเทศต้องการให้เกิดค่าโง่ต่อไปอีกรัฐสภาน่าจะตั้งกรรมาธิการร่วมเพื่อความโปร่งใสรอบคอบต่อโครงการนี้ก่อนที่จะเสนอรัฐบาลชุดใหม่ต่อไป
เบื้องต้นทางพรรคยังจะไม่ยื่นกะทู้ในเรื่องนี้อีกเพราะได้เสนอญัตติด่วนเข้าไปแล้วถือเป็นผลประโยชน์หลายแสนล้านของประเทศในอีก30 ปีต่อไปโดยต้องการให้คณะกรรมาธิการทำงานให้เร็วที่สุดเนื่องจากกทพ.ต้องเสียดอกเบี้ยให้BEM วันละ3 แสนบาทซึ่งสร.กทพ.จะยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีให้กทพ.สามารถนำเงินที่มีอยู่แล้วนำไปวางที่ศาลเพื่อยุติภาระดอกเบี้ยเอาไว้ก่อนซึ่งรัฐบาลจะต้องเร่งตัดสินใจต่อไป
“มติของบอร์ดกทพ.จะแก้ไขค่าโง่ทางด่วนโดยใช้วิธีต่ออายุสัญญาสัมปทาน30 ปีซึ่งแนวคิดของนายไดรินทร์ชูโชติถาวรรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมต้องการให้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาตัดสินใจจึงขอให้นายกรัฐมนตรีชะลอการตัดสินใจในรัฐบาลนี้เนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญซึ่งจะมีการขอเข้าพบหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยที่จะได้รับโควต้ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเพื่อหารือในเรื่องนี้กันต่อไปให้ชะลอเพื่อรอผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการให้ชัดเจนก่อนน่าจะดีที่สุด”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
BEMเชื่อมั่นขยายสัมปทานยุติข้อพิพาททางออกที่ดีที่สุด
เดิมพันทางด่วนแสนล. " BEM " ลดค่าเสียหายอื้อแลกสัมปทาน 30 ปี
'สามารถ' เดินหน้าไล่ล่า 'ไอ้โม่ง-รัฐบาลปี40' ต้นทางค่าโง่ทางด่วน
ถก กมธ.ล่ม! “หมอระวี” แก้มติ เชิญแค่สหภาพฯแจงสัมปทาน
สหภาพกทพ. ร้อง "บิ๊กตู่" เบรกครม.ไฟเขียวร่างสัญญาสัมปทาน
สหภาพฯลุ้นบอร์ดกทพ.ประชุม23 มค.นี้ เคลียร์คดีค่าโง่ทางด่วนข้อพิพาทอัปยศ