กรมสรรพากรมีบทบาทโดยตรงในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศผ่านการจัดเก็บภาษีอากรให้รัฐบาลนำรายได้ไปใช้ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ โดยรายได้ของรัฐบาลกว่า 78% ของภาษีทั้งหมดที่จัดเก็บโดย 3 กรมภาษี มาจากกรมสรรพากร
ในยุคที่โลกเปลี่ยนผ่านเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ กรมสรรพากรจำเป็นต้องปรับตัวและพัฒนาเพื่อให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อความท้าทายที่เกิดจากเทคโนโลยีใหม่ๆ รูปแบบธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความเชื่อมโยงของเศรษฐกิจโลก รวมถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนทางการคลัง
นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากรฉายภาพการจัดเก็บภาษีในอนาคตว่า ทิศทางการจัดเก็บภาษีของโลกมุ่งเป็น Tax Administration 3.0 ซึ่งเป็นการฝังระบบภาษีเข้าไปในระบบที่ผู้เสียภาษีใช้ในธุรกิจ หรือใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อให้การจัดการภาษีไร้รอยต่อและไร้แรงเสียดทาน ซึ่งแนวคิดดังกล่าวจะเป็นเป้าหมายสำคัญในการเดินหน้าของกรมในอนาคต
ทั้งนี้ Tax Administration 3.0 เป็นการฝังระบบภาษีเข้าไปในกิจกรรมทางเศรษฐกิจและชีวิตประจำวันของประชาชนอย่างแนบเนียน การดำเนินการทางภาษี เช่น การยื่นแบบ การชำระภาษี หรือการรายงานข้อมูล จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติควบคู่กับการทำธุรกรรมจริง"
แนวทางนี้จะทำให้เกิดการเก็บข้อมูลแบบ Real-time หรือ Near Real-time ซึ่งช่วยให้กรมสรรพากรสามารถประเมินความเสี่ยงได้แม่นยำยิ่งขึ้น บังคับใช้กฎหมายเชิงรุก และลดภาระของผู้เสียภาษี
ดังนั้น ภาพรวมการจัดเก็บภาษีของกรมในอนาคต ก็จะมีการออกแบบโครงสร้างภาษีอยู่บนพื้นฐานของการรักษาสมดุลระหว่างความเป็นธรรมกับการเติบโต โดยต้องมั่นใจว่า การจัดเก็บภาษีสามารถอำนวยรายได้เพียงพอแก่การใช้จ่ายเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ของประเทศ
สำหรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ผ่านมาได้ออกแบบให้มีความก้าวหน้า เพื่ออำนวยรายได้และ ลดความเหลื่อมล้ำ อย่างไรก็ดี ค่าลดหย่อนและการยกเว้นภาษีบางรายการได้ทำให้ความก้าวหน้าของระบบภาษีลดลง จึงต้องมีการทบทวนใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป
ทั้งจากจำนวนประชากรไทยประมาณ 65 ล้านคน ควรจะมีผู้ที่อยู่ในระบบฐานภาษี 15 ล้านคน แต่ปัจจุบันมีผู้มีเงินได้อยู่ในระบบฐานภาษีเพียง 11 ล้านคนเท่านั้น และจำนวนดังกล่าวยื่นแบบไม่มีภาษีที่ต้องชำระประมาณ 7 ล้านคน จึงมีเพียง 4 ล้านคนเท่านั้น ที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ฉะนั้น กรมจึงอยู่ระหว่างพิจารณาแนวทางในการดึงกลุ่มเป้าหมายอีก 4 ล้านคนให้เข้ามาสู่ระบบฐานภาษี
“เพื่อดึงกลุ่มเป้าหมายอีก 4 ล้านคน เข้ามาอยู่ในระบบ กรมได้เชื่อมข้อมูลกับหน่วยงานภายนอก ทั้งภาครัฐและเอกชนกว่า 80 องค์กร ซึ่งการใช้ข้อมูลนั้น กรมจะเข้าไปดูเรื่องการจ่ายเงินต่างๆ เพื่อมาประมวล จากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่ลงไปตรวจสอบ”
ส่วนการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้น ที่ผ่านมาได้มีการลดอัตราภาษีลงเหลือ 20% เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และเมื่อมี Pillar 2 การจะลดอัตราภาษีลงไปอีกคงทำได้ไม่มาก จึงควรใช้โอกาสนี้ปรับปรุงการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยมุ่งเน้นการลงทุนที่เป็นเศรษฐกิจใหม่ของประเทศอย่างแท้จริง
ขณะเดียวกัน กรมยังอยู่ระหว่างศึกษาทบทวนการยื่นจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (Vat) จากปัจจุบันกฎหมายกำหนดให้ผู้ที่มีรายได้จากการประกอบธุรกิจที่ต่ำกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียน Vat ซึ่งในอดีตเคยกำหนดให้บริษัทที่มีรายได้ 1.5 ล้านบาทจะต้องมาจด Vat ด้วย แต่ได้ยกเลิกไป แต่จะมีการศึกษาเชิงวิชาการใหม่อีกครั้งในส่วนนี้
นอกจากนี้ อัตราภาษี Vat ของไทยยังเป็นอัตราที่เกือบต่ำที่สุดอยู่อันดับ 1 ใน 3 ของโลก ซึ่งหากมีการขึ้น Vat 1% จะทำให้จัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น 70,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี การปรับขึ้นอัตรา Vat จำเป็นต้องบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดแก่ผู้มีรายได้น้อย ซึ่งกระทรวงการคลังมอบหมายให้กรมสรรพากรและสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ศึกษาการใช้ Negative Income Tax ในการจัดสวัสดิการดูแลประชาชน
นายปิ่นสายกล่าวว่า ปัจจุบันสวัสดิการของรัฐ กระจัดกระจายอยู่ที่หน่วยงานต่างๆ ฉะนั้น เราจึงศึกษาเพื่อจัดสวัสดิการดูแลประชาชน โดยทุกคนจะต้องเข้ามายื่นแบบภาษีไม่ว่าจะมีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ หรือรายได้เกณฑ์ที่กำหนด หากมีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ เราก็จะจัดสวัสดิการให้ ซึ่งก็จะมีการพิจารณาอีกครั้ง ว่าจะให้กับประชาชนทั้งระบบ หรือจะเริ่มทำเฉพาะวัยทำงานก่อน
ขณะเดียวกัน สรรพากรยังอยู่ระหว่างศึกษาการจัดเก็บภาษี Pillar 1 ขึ้นเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับประเทศที่เป็นแหล่งรายได้ของ MNEs ไม่ว่าบริษัทจะตั้งถิ่นฐานในประเทศนั้นๆ หรือไม่ก็ตาม ซึ่งเป็นไปตามความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) โดยจะมีผลกับบริษัทขนาดใหญ่ที่มีรายได้ทั่วโลกเกิน 20,000 ล้านยูโร และมีกำไรเกิน 10% ของรายได้
“สัดส่วนภาษีต่อ GDP ของประเทศไทยตามการคำนวณของ OECD อยู่ที่ประมาณ 16% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกซึ่งอยู่ที่ประมาณ 19% และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศสมาชิก OECD ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 34% แม้ไม่มีสูตรตายตัวว่าสัดส่วนภาษีต่อ GDP ควรเป็นเท่าไร แต่หากจะให้มีความยั่งยืน ทางการคลัง ก็ควรเพิ่มสัดส่วนภาษีต่อ GDP ของประเทศไทยอีกประมาณ 4-5%”
เรียกได้ว่า “กรมสรรพากร” กำลังก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญจากระบบภาษีแบบดั้งเดิมไปสู่ “ระบบภาษีอัจฉริยะ” ที่ฝังตัวอยู่ในชีวิตและธุรกิจของประชาชนโดยไม่เพิ่มภาระ แต่กลับเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใส ภายใต้การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ความร่วมมือระหว่างประเทศ และแนวทางด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,099 วันที่ 25 - 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2568