รัฐบาลใช้ ม.83 เร่งแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานประมง 5 หมื่นคน

31 ก.ค. 2565 | 05:30 น.

รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานเรือประมง ใช้ ม.83 เปิดให้ขอหนังสือคนประจำเรือ(seabook) เพื่อทำงานในเรือประมง ปีละ 2 รอบ โดยปีนี้เปิดต่ออายุ seabook เล่มเหลือง เป็นการเฉพาะตั้งแต่บัดนี้ ถึง 30 พ.ย.

 

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เผยว่า จากนโยบายภายใต้การบริหารราชการเพื่อให้เกิดประโยชน์สุขของประชาชน ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ได้ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานบนเรือประมงเป็นอย่างมาก พร้อมทั้งได้มอบหมายให้กรมประมงเร่งหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วนนั้น

 

นายเฉลิมชัย  สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า จากที่สมาคมการประมงแห่งประเทศไทยได้มายื่นหนังสือขอให้มีการใช้มาตรา 83 แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 ได้ปีละ 2 ครั้ง ครั้งละ 3 เดือน เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคประมงทะเล จำนวน 30,000 – 50,000 ราย

 

 

รัฐบาลใช้ ม.83 เร่งแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานประมง 5 หมื่นคน

 

ประกอบกับคนต่างด้าวที่ได้รับการต่ออายุหนังสือคนประจำเรือตามมติคณะรัฐมนตรี(ครม.)เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2564 จำนวน 1,818 คน จะทยอยหมดอายุเดือนพฤษภาคม – กันยายน 2565 จึงได้เสนอเพื่อเปิดใช้อำนาจ ม.83 แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558  ให้แรงงานต่างด้าวที่เข้าเมืองถูกกฎหมาย สามารถทำงานในเรือประมงได้อย่างถูกต้อง เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคประมงทะเล

 

ทั้งนี้ ดร.เฉลิมชัย  ศรีอ่อน  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ผลักดันเสนอเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี กระทั่ง ครม. ได้มีมติเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2565  อนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การออกหนังสือคนประจำเรือตามกฎหมายว่าด้วยการประมง พ.ศ. .... และร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การยกเว้นข้อห้ามมิให้คนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม สามารถมายื่นคำขอรับหนังสือคนประจำเรือเพื่ออยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว และทำงานกับนายจ้างในกิจการประมงทะเล

 

ขณะนี้ ประกาศทั้ง 2 ฉบับพลเอก ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามและประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2565 ซึ่งสาระสำคัญของกฎหมายกำหนดให้คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่ถือหนังสือเดินทาง หรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางที่ยังไม่หมดอายุและมีรอยตราประทับตรวจหนังสือเดินทางขาเข้า หรือคนต่างด้าวที่ได้รับหนังสือคนประจำเรือตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการออกหนังสือคนประจำเรือและระยะเวลาการอนุญาตสิ้นสุดลง สามารถยื่นคำขอหนังสือคนประจำเรือตามช่วงเวลา โดย รอบที่ 1 : ระหว่าง 1 เมษายน – 30 มิถุนายนของทุกปี และ รอบที่ 2 : ระหว่าง 1 กันยายน – 30 พฤศจิกายนของทุกปี

 

รัฐบาลใช้ ม.83 เร่งแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานประมง 5 หมื่นคน

 

อย่างไรก็ตาม ในปี 2565 นี้ เพื่อเป็นการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานในเรือประมงอย่างเร่งด่วนและอำนวยความสะดวก ในการขอรับหนังสือคนประจำเรือของแรงงานต่างด้าว รัฐบาลจึงเห็นชอบให้กรมประมงเปิดรับคำขอหนังสือคนประจำเรือสำหรับคนต่างด้าว ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 ณ สำนักงานประมงพื้นที่กรุงเทพมหานคร และสำนักงานประมงจังหวัดที่มีอาณาเขตติดทะเล

 

สำหรับแรงงานต่างด้าวที่จะมาขอหนังสือคนประจำเรือจะต้องมีใบรับรองการตรวจสุขภาพรวมถึงการตรวจโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 พร้อมการประกันสุขภาพ หนังสือสัญญาจ้างในงานประมงทะเลครอบคลุมการสัมภาษณ์คนต่างด้าวโดยมีเจ้าหน้าที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ตรวจสอบความถูกต้องและลงลายมือชื่อกำกับ พร้อมรูปถ่ายสี ครึ่งตัว หน้าตรงไม่สวมหมวกและแว่นดำ ขนาด 1.5 x 2 นิ้ว ถ่ายมาแล้วไม่เกิน 1 เดือน จำนวน 3 รูป

 

เมื่อยื่นคำขอแล้วจะได้รับใบรับคำขอ เพื่อนำไปเป็นหลักฐานในการยื่นขอจัดเก็บข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจังหวัด ภายใน 15 วัน พร้อมทั้งขอจัดทำบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยกับกรมการปกครอง ซึ่งใบรับคำขอนี้ไม่อนุญาตให้ใช้แทนหนังสือคนประจำเรือ และเมื่อจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคลเรียบร้อยแล้วให้นำหลักฐานมารับหนังสือคนประจำเรือพร้อมชำระค่าธรรมเนียม 100 บาท จึงจะสามารถนำแรงงานออกทำการประมงได้

 

“การดำเนินการดังกล่าวจะเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่ทำงานบนเรือประมง ทั้งยังเป็นการช่วยป้องกันการใช้แรงงานผิดกฎหมาย การใช้แรงงานบังคับ และการค้ามนุษย์ในภาคประมง โดยการเปิดให้แรงงานต่างด้าวขอหนังสือคนประจำเรือ (Seabook) ให้ถูกต้องตามกฏหมาย ทำให้แรงงานต่างด้าวได้รับการคุ้มครองและสวัสดิการตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อประเทศไทย ทำให้เกิดการส่งเสริมการจ้างงานกระตุ้นเศรษฐกิจให้ผู้ประกอบการภาคประมงสามารถทำการประมงได้อย่างไม่ติดขัดเกิดความคล่องตัว และมีความยั่งยืนในการประกอบอาชีพต่อไป” อธิบดีกรมประมง กล่าว