เกาะติดปฏิบัติการสุดหิน ย้ายเรือยักษ์ขวางคลองสุเอซ

28 มี.ค. 2564 | 02:05 น.

อียิปต์ระดมสรรพกำลังย้ายเรือยักษ์ “เอเวอร์ กิฟเว่น” ขวางคลองสุเอซ หลังประเมินผลกระทบการค้าและค่าเสียหายที่เจ้าของเรือต้องชดเชยอาจสร้างประวัติศาสตร์สูงสุดครั้งหนึ่งเท่าที่เคยมีมา

เรือสินค้า “เอเวอร์ กิฟเว่น” (Ever Given) ที่มีขนาดความยาวเทียบเท่าความสูงของตึกเอ็มไพร์สเตท ยังคงเกยตื้นขวางทแยงปิดกั้นเส้นทางสัญจรของ คลองสุเอซ มาตั้งแต่วันอังคาร (23 มี.ค.) ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ขยับไปไหนแม้ว่าทางสำนักงานบริหารจัดการคลองสุเอซ (SCA : Suez Canal Authority ) จะพยายามระดมแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยความร่วมมือกับ หน่วยปฏิบัติบัติภารกิจกู้เรือ ของหลายประเทศที่ยื่นมือให้ความช่วยเหลือ

ในเบื้องต้น ได้มีการนำทั้งรถและเรือขุดมาตักทรายและดินโคลนจำนวนมหาศาลออกจากฝั่งคลองสุเอซที่เรือยักษ์น้ำหนัก 224,000 ตันนี้เข้าไปเกยติดอยู่

เกาะติดปฏิบัติการสุดหิน ย้ายเรือยักษ์ขวางคลองสุเอซ

เจ้าหน้าที่อาวุโสของ SCA รายหนึ่งที่ไม่ประสงค์ออกนามเปิดเผยกับสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นว่า ความสำเร็จของปฏิบัติการกู้เรือยักษ์ลำนี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ

  • งานขุดทรายซึ่งระดมขุดกันจนคาดว่าใกล้จะลุล่วงในเร็ว ๆนี้
  • นอกนั้นเป็นเรื่องของระดับน้ำ ช่วงน้ำขึ้น (โดยระดับน้ำคลองสุเอซจะขึ้นสูงในช่วงเวลาประมาณ 22.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น)  
  • และจำนวนเรือลากที่จะนำมาใช้ลากดึงเรือเอเวอร์ กิฟเว่น ออกจากชายฝั่ง

บริษัท เอเวอร์กรีน มารีน (Evergreen Marine) ซึ่งเป็นผู้เช่าเรือดังกล่าวมาใช้ในการขนส่งสินค้าเปิดเผยว่า ขณะนี้ได้มอบหมายทีมผู้เชี่ยวชาญปฏิบัติการกู้เรือจากบริษัท เอสเอ็มที ซาลเวจ (SMIT Salvage) ประเทศเนเธอร์แลนด์ และทีมจากบริษัท นิปปอน ซาลเวจ (Nippon Salvage) ประเทศญี่ปุ่น มาช่วยคณะทำงานของ SCA ในปฏิบัติการกู้เรือแล้ว โดยในส่วนของงานขุดทรายและดินโคลนออกจากจุดที่เรือไปเกยตื้นอยู่นั้น ได้มีการขุดทรายออกไปแล้วเกือบ ๆ 706,000 ลูกบาศก์ฟุต

งานขุดทรายและดินโคลนชายฝั่งใกล้ลุล่วงแล้ว

ในการให้สัมภาษณ์สื่อวานนี้ (27 มี.ค.) นายโอซามา ราบี ประธาน SCA เปิดเผยว่า ปฏิบัติการดังกล่าวมีความยุ่งยากซับซ้อนทางเทคนิค และมีหลายเหตุปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ดินทรายที่ขุดลงไปนั้นมีก้อนหินใหญ่ปะปนเป็นจำนวนมาก ระดับน้ำก็ขึ้นสูง อีกทั้งเรือยังมีขนาดใหญ่มหึมา บรรทุกตู้สินค้า(คอนเทนเนอร์) มาเต็มลำซึ่งยิ่งทำให้ภารกิจครั้งนี้ยากลำบากมากขึ้น “ถึงตอนนี้ เรายังไม่สามารถระบุได้ว่าจะขยับเรือออกมาได้เมื่อไหร่ วันไหน มันขึ้นอยู่กับว่าเรือจะตอบสนองอย่างไร”

ประธาน SCA เปิดเผยว่า เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (26 มี.ค.) เรือทำท่าว่าจะขยับทำให้มีความคาดหวังกันว่าอาจกู้ได้สำเร็จในคืนวันศุกร์ แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จต้องยุติภารกิจชั่วคราวเนื่องจากปัจจัยเรื่องระดับน้ำ

“เราสูบน้ำออกจากอับเฉาเรือไปประมาณ 9,000 ตัน จากนั้นก็เร่งงานขุดทรายในช่วงที่ระดับน้ำลด และนำเรือลากจูง 14 ลำมาช่วยกันลากดึงเรือเอเวอร์ กิฟเว่นในช่วงที่ระดับน้ำขึ้นสูง เราสามารถเดินใบพัดของเรือได้อีกครั้งเมื่อคืนวันศุกร์ทำให้มีความหวังขึ้นมาก แต่สุดท้ายระดับน้ำลดลงทำให้เราต้องยุติภารกิจเป็นการชั่วคราว” ประธาน SCA อธิบาย และยังเสริมว่า อาจมีความจำเป็นต้องถ่ายตู้คอนเทนเนอร์สินค้าลงจากเรือบางส่วนเพื่อให้น้ำหนักของเรือลดลง ซึ่งภารกิจดังกล่าวเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลามากและค่อนข้างยุ่งยาก “หวังว่าเราคงไม่ต้องใช้วิธีนี้” นายราบีระบุ

มีเรือประมาณ 321 ลำกำลังรอแล่นผ่านคลองสุเอซ

ในส่วนของการสัญจรของเรือสินค้าในคลองสุเอซเวลานี้ พบว่า  มีเรือประมาณ 321 ลำกำลังรอแล่นผ่านคลองสุเอซ ประธาน SCA กล่าวว่า ยังคงมีการสอบสวนข้อเท็จจริงว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เรือเกยตื้นขวางลำในครั้งนี้ เขายอมรับว่ากระแสลมแรงอาจเป็นเหตุผลหนึ่งแต่เชื่อว่าไม่ใช่เหตุผลหลัก อาจเป็นไปได้ที่เรื่องนี้จะเกิดจากความผิดพลาดทางเทคนิคหรือความผิดพลาดที่เกิดจากมนุษย์  

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีหลายประเทศรวมทั้งสหรัฐอเมริกา จีน กรีซ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เสนอตัวเข้าช่วยเหลือในภารกิจกู้เรือยักษ์ครั้งนี้

ผู้เชี่ยวชาญด้านการกู้เรือจากทีมเนเธอร์แลนด์เปิดเผยว่า หากภารกิจขุดทรายยังไม่สามารถขยับเรือเอฟเวอร์ กิฟเว่น ซึ่งมีความยาว 400 เมตรและกว้าง 59 เมตรออกมาได้ แผนขั้นต่อไปที่จะนำมาใช้ก็อาจทำให้เรือลำนี้หลุดออกมาได้สำเร็จในช่วง “ต้นสัปดาห์หน้า”  เพราะจากการสำรวจเบื้องต้นพบว่าท่อนท้ายเรือไม่ได้ปักเข้าไปติดในดินโคลนทั้งหมด จึงมีความเป็นไปได้ที่จะใช้เรือลากจูงขนาดใหญ่จำนวนหลายลำลากดึงออกมา ซึ่งวิธีการนี้ต้องอาศัยหลายปัจจัยเข้าช่วย ไม่ว่าจะเป็นกำลังของเรือลากจูง แรงดันของเรือยักษ์เอง การขุดสันทรายออกไป และระดับน้ำที่คาดว่าจะสูงขึ้น 40-50 เซนติเมตรในช่วงสัปดาห์หน้า

แต่หากถึงขั้นนั้นแล้ว ภารกิจดังกล่าวยังไม่สำเร็จอีก นั่นก็หมายความว่าอาจต้องดำเนินการขั้นต่อไปที่จะยุ่งยากมากขึ้น นั่นคือการถ่ายตู้คอนเทนเนอร์สินค้าราว 600 ตู้ ออกมาจากเรือเอเวอร์ กิฟเว่น “ขณะนี้เราเริ่มนำเครนยกตู้สินค้าเข้ามาติดตั้งแล้ว เพื่อเตรียมพร้อมยกตู้สินค้าออกจากส่วนหัวเรือ” ผู้เชี่ยวชาญจากทีมเนเธอร์แลนด์กล่าว

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ในแต่ละวัน คลองสุเอซจะมีเรือแล่นผ่านช่องทางนี้ประมาณ 50 ลำ แต่เนื่องจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ทำให้เรือสินค้าไม่สามารถสัญจรได้ตามปกติ ขณะนี้จึงมีเรือที่กำลังรอผ่านทางมากกว่า 300 ลำเข้าไปแล้ว ประเมินความเสียหายรายวันในเบื้องต้นอาจสูงถึง 9,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 3 แสนล้านบาทต่อวัน ความเสียหายที่เกิดขึ้นยังอาจทำให้บริษัทเจ้าของเรือเอเวอร์ กิฟเว่น ถูกฟ้องเรียกค่าชดเชยความเสียหายหลายล้านดอลลาร์สหรัฐ สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า เรือยักษ์ลำดังกล่าวทำประกันไว้ในประเทศญี่ปุ่นวงเงินราว 100-140 ล้านดอลลาร์สำหรับกรณีจักรกลเรือได้รับความเสียหาย  

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สหรัฐเสนอตัวช่วยเหลืออียิปต์ แก้ปัญหาเรือยักษ์ขวางคลองสุเอซ

เอกชนไทยหวั่นเรือสินค้าขวางคลองสุเอซกระทบส่งออก

เรือยักษ์ขวางลำคลองสุเอซ สะเทือนการค้าโลก

ทำความรู้จัก "คลองสุเอซ" หลังเรือยักษ์เอเวอร์ กีฟเว่น ประสบเหตุเกยตื้น