เปิดนโยบาย "โจ ไบเดน"(Joe Biden) ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 46

05 พ.ย. 2563 | 06:00 น.

ผลเลือกตั้งสหรัฐ 2020 เปิดนโยบาย "โจ ไบเดน" ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 46 ในแต่ละด้านที่เคยประกาศไว้ในช่วงหาเสียง โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจในภาพใหญ่ ในชื่อ" Buy American "

ผลการเลือกตั้งสหรัฐ 2020 แม้ผลเลือกตั้งจะยังไม่ประกาศเป็นทางการ แต่ด้วยคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง Electoral Vote) ที่ "โจ ไบเดน" ชนะในรัฐมิชิแกนและวิสคอนซินซึ่งเคยเป็นรัฐที่ทรัมป์ได้รับชัยชนะในศึกเลือกตั้งปี 2559 นั้น ทำให้นายโจ ไบเดน มีคะแนนคณะผู้เลือกตั้งสหรัฐหรือ Electoral Vote เพิ่มขึ้นเป็น 264 คะแนน แซงหน้าทรัมป์ซึ่งมีคะแนน 214 คะแนน โดยนายไบเดนต้องการอีกแค่ 6 คะแนนเท่านั้นก็จะได้คะแนนเกินกึ่งหนึ่งหรือ 270 คะแนนจากทั้งหมด 538 คะแนน เพื่อชนะการเลือกตั้งครั้งนี้

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

มาดูกันว่านโยบายว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 46 "โจ ไบเดน"เคยประกาศไว้มีอะไรบ้าง 

 

 

เปิดนโยบาย "โจ ไบเดน"(Joe Biden) ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 46

 

 

นโยบายด้านเศรษฐกิจ

 

ไบเดน ประกาศบนเวทีหาเสียงว่า หากได้เป็นประธานาธิบดี ในด้านภาษี จะเก็บเพิ่มภาษีนิติบุคคลจาก 21% เป็น 28% และขึ้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดอัตราสูงสุดเป็น 39.6% จากอัตราปัจจุบันที่ 37% นอกจากนี้จะเก็บภาษีกำไรส่วนต่างจากการลงทุน (Capital gains tax) ในอัตราเดียวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้มีรายได้เกิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี เพื่อเพิ่มรายได้เข้าคลัง 

 

ด้วยความที่เชื่อมั่นในนโยบายการค้าเสรี ไบเดนให้คำมั่นว่าหากเขาได้เป็นประธานาธิบดี สหรัฐจะผลักดันการใช้แนวทางการเจรจาผ่านองค์กรการค้าเพื่อรักษาผลประโยชน์ของสหรัฐ ไม่ให้เสียเปรียบกับคู่เจรจา นอกจากนี้ เขายังเสนอขึ้นอัตราค่าแรงเป็น 15 ดอลลาร์/ชั่วโมง

 

นโยบายเศรษฐกิจในภาพใหญ่ของไบเดนมีชื่อว่า "Buy American" เป็นโครงการมูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเขาวางแผนใช้เงิน 4 แสนล้านดอลลาร์กระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรง ผ่านการลงทุนก่อสร้างโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน ลงทุนกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ อย่างเทคโนโลยีการสื่อสารแบบ 5G,  ยานยนต์ไฟฟ้า, พลังงานสะอาด และปัญญาประดิษฐ์ (AI)  เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมและกระตุ้นให้เกิดจากจ้างงานที่มีค่าตอบแทนสูงในอุตสาหกรรมดังที่กล่าวมาข้างต้น


 

นโยบายด้านการต่างประเทศ

 

ไบเดนมองว่า การใช้นโยบายแข็งกร้าวกับประเทศคู่ค้าทำให้สหรัฐอเมริกาถูกโดดเดี่ยว และสูญเสียสถานะการเป็นผู้นำในระบบการค้าเสรี และนั่นก็เปิดโอกาสให้จีนเข้ามีบทบาทโดดเด่นแทนที่ ไบเดนชูนโยบายที่สหรัฐต้องมีบทบาทผู้นำในการรักษาสันติภาพของโลก พร้อม ๆไปกับการรักษาผลประโยชน์ของสหรัฐเอง

 

บนเวทีหาเสียง ไบเดนให้คำมั่นว่า เขาจะเพิ่มงบประมาณความช่วยเหลือทางด้านเศรษฐกิจและด้านการทหารให้กับชาติพันธมิตรของสหรัฐ

 

นโยบายด้านสีผิว-ความเหลื่อมล้ำ-การเหยียดเชื้อชาติ

 

ไบเดน  เลือกที่จะยืนหยัดอยู่เคียงข้างกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านการเหยียดสีผิว เขาต้องการหยิบยื่นความยุติธรรมให้กับคนผิวสี โดยเสนอนโยบายแก้ไขปัญหาหลายอย่างที่มักจะเกี่ยวเนื่องกับคนผิวสีและชนกลุ่มน้อย เช่น เรื่องของคดีอาญา นโยบายให้ถือว่าผู้เสพติดเป็นผู้ป่วย ไม่ใช่อาชญากร ลดบทลงโทษของการมียาเสพติดในครอบครอง และเสนอให้มีระบบประกันตัวระหว่างสู้คดีโดยไม่ต้องใช้เงินสด

 

นโยบายสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลก

 

ไบเดน ลั่นวาจาสวนทางกับปธน.ทรัมป์ในเรื่องนี้ เขาประกาศว่า ถ้าชนะการเลือกตั้ง ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ เขาจะนำประเทศกลับเข้าสู่ความตกลงปารีสว่าด้วยการลดปัญหาโลกร้อน ที่สำคัญคือ ไบเดนมองว่า สหรัฐต้องคงบทบาทความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน ซึ่งเป็นพลังงานสะอาด ขึ้นมาทดแทนอุตสาหกรรมพลังงานน้ำมัน เขาประกาศเป้าหมายว่า หากได้เป็นรัฐบาล สหรัฐจะเป็นประเทศที่ยุติการปล่อยก๊าซคาร์บอน (อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นศูนย์) ภายในปี พ.ศ. 2593 หรือในอีก 30 ปีข้างหน้า ไบเดนจะห้ามการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในเขตที่ดินสาธารณะ และมีแผนลงทุนกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด

 

ในเบื้องต้นนักวิเคราะห์ในตลาดเงินตลาดทุนคาดหมายว่า การปรับตัวลดลงของราคาในตลาดสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกในช่วงขณะนี้สะท้อนให้เห็นว่า ผู้ลงทุนส่วนใหญ่คาดเดาว่า นายโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต จะมีชัยชนะเหนือ "โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนที่วิเคราะห์จากนโยบายของนายโจ ไบเดน ว่าจะเป็น “ผลลบ” ต่อเศรษฐกิจสหรัฐมากกว่าจะเป็นบวก เพราะไบเดนมีแผนปรับขึ้นภาษี และมีมาตรการทางเศรษฐกิจที่เข้มงวดมากขึ้น แต่ชัยชนะของนายไบเดนก็น่าจะส่งผลเชิงบวกต่อหุ้นในกลุ่มพลังงานหมุนเวียน-พลังงานสะอาดในสหรัฐ 

 

นอกจากนี้ หากนายไบเดนเป็นฝ่ายชนะจริง ก็จะเป็นโอกาสเชิงบวกต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่(Emerging Market : EM ) โดยเฉพาะในแถบภูมิภาคเอเชีย อาจสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาดหุ้นในประเทศที่พัฒนาแล้ว ทั้งนี้ยังเป็นผลจากทุนต่างประเทศไหลเข้าตลาด EM  อันเนื่องจากนโยบายการขึ้นภาษี"กำไรส่วนต่างจากการลงทุน (Capital gains tax)" ของไบเดนนั่นเอง   

 

จากท่าทีประนีประนอมของนายไบเดน เป็นการเปิดโอกาสร่วมมือกับประเทศแถบเอเชียเพื่อคานอำนาจกับประเทศจีน แทนที่จะใช้นโยบายภาษีที่เป็นชนวนสงครามการค้าที่ปะทุขึ้นมาในยุคสมัยของปธน.โดนัลด์ ทรัมป์