ตั้งแต่ โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกา อย่างเป็นทางการ โลกก็เข้าสู่ภาวะความไม่แน่นอนและไม่มีเสถียรภาพแทบจะทันและต่อเนื่องอย่างไม่รู้จักจบ ทั้งผลกระทบเชิงมหภาคและจุลภาคต่อระบบการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือได้ว่า นับเป็นครั้งแรกในโลกยุคสมัยใหม่ ที่วิกฤตการณ์ของโลกเกิดขึ้นจากผู้นำของประเทศชั้นนำของโลก
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม นักธุรกิจและนักบริหารก็คงต้องประเมินผลกระทบและหาวิธีการรับมือต่อความไม่แน่นอนนี้โดยเร็วและเป็นขั้นเป็นตอนอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อไม่ให้สถานการณ์ขององค์กรต้องตกต่ำจนยากจะกลับคืนสู่ฐานะเดิม
วารสาร Harvard Business Review ได้ตีพิมพ์บทความเรื่อง “Understanding the Global Macroeconomic Impacts of Trump’s Tariffs” ซึ่งเขียนโดย Philipp Carlsson-Szlezak, Paul Swartz และ Martin Reeves เมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2568 ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับนักบริหารและนักธุรกิจ ข้อคิดเห็นของเขามีรายละเอียดต่อไปนี้
เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ปฏิบัติตามคำมั่นที่ให้ไว้ในช่วงหาเสียง ด้วยการเพิ่มอัตราภาษีศุลกากรอย่างมากต่อประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้อัตราภาษีศุลกากรที่แท้จริงโดยเฉลี่ย (Average Effective Tariff Rate) พุ่งขึ้นเป็นประมาณ 23% ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นเกือบสิบเท่าตัวจากอัตราในปีที่ผ่านมา
การปรับขึ้นภาษีดังกล่าวทำให้ตลาดการเงินทั่วโลกเกิดแรงเทขายอย่างเฉียบพลันและรุนแรง ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนถึงขอบเขตผลกระทบในระดับโลก และความไม่แน่นอนในระดับรุนแรงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ด้วยเหตุนี้ ผู้บริหารองค์กรทั่วโลกจึงต่างเร่งสร้างความเข้าใจต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจมหภาคที่จะเกิดขึ้นจากมาตรการนี้
นโยบายการขึ้นภาษีนี้ถือเป็นแรงกระแทกเชิงนโยบาย ที่ทั้งซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ซึ่งทำให้ไม่สามารถสรุปผลได้อย่างรวดเร็วหรือแม่นยำ ยิ่งตอกย้ำโดยคำประกาศเมื่อวันที่ 9 เมษายน ที่ระบุว่า จะมีการระงับการเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) เป็นเวลา 90 วัน สำหรับประเทศส่วนใหญ่
ภายใต้มาตรการนี้จะมีผลกระทบหลักที่ยากต่อการประเมิน รวมถึงผลกระทบลูกโซ่ที่ในบางกรณี อาจมีความสำคัญมากยิ่งกว่า และที่สำคัญภาษีที่มีความเข้มงวดระดับนี้ อาจเป็นเพียงการเดินเกมแรก (Opening Gambit) สำหรับการเจรจาแบบแยกส่วน ซึ่งสะท้อนถึงระบอบใหม่ของการบริหารจัดการที่เรียกว่า “ความไม่แน่นอนอย่างจงใจ” (Deliberate Uncertainty) ซึ่งผู้บริหารจำเป็นต้องเรียนรู้และรับมือ
ท่ามกลางภาวะความไม่แน่นอนเช่นนี้ การทำความเข้าใจถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจมหภาคทั้งโดยตรง (Primary Impacts) และโดยอ้อม (Secondary Impacts) ของภาษีศุลกากร รวมถึงผลกระทบระยะยาวที่มีความเป็นไปได้ (Plausible Long-term Consequences) จะช่วยให้ผู้นำองค์กรสามารถประเมินผลกระทบต่อตลาดและธุรกิจของตนได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
หากต้องการประเมินผลกระทบระดับโลกให้รอบด้าน สิ่งที่ควรเริ่มต้นด้วย คือ ข้อเท็จจริงที่มักถูกมองข้าม นั่นคือ สหรัฐอเมริกาได้เริ่มต้นสงครามการค้ากับทุกประเทศในโลก แต่ในทางกลับกัน แต่ละประเทศคู่ค้ากำลังทำสงครามการค้าเฉพาะกับสหรัฐฯ เพียงประเทศเดียว เมื่อพิจารณาความไม่สมมาตร (Asymmetry) นี้เข้ามาประกอบในการวิเคราะห์จะทำให้สมมติฐานเดิมที่ว่า “สหรัฐฯ เป็นฝ่ายที่ถือไพ่เหนือกว่า” เริ่มอ่อนแรงลงและไม่น่าเชื่อถือเท่าเดิม ในฐานะที่สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก และมีดุลการค้าขาดดุลอย่างมาก
กล่าวคือ สหรัฐฯ นำเข้าสินค้ามากกว่าที่ส่งออกอย่างมีนัยสำคัญ จึงมีเหตุผลที่ว่า สหรัฐฯ ควรอยู่ในสถานะเริ่มต้นที่แข็งแกร่งกว่าหากสงครามการค้าเกิดขึ้นในวงจำกัด เพราะโดยเปรียบเทียบแล้ว สหรัฐฯ มีแนวโน้มจะได้รับความเสียหายน้อยกว่าคู่ค้าหลายประเทศหากการค้าลดลง
แต่ด้วยการที่สหรัฐฯ เริ่มสงครามการค้าแบบรอบด้านหรือ 360 องศา กล่าวคือ เปิดศึกการค้ากับทุกประเทศพร้อมกัน สหรัฐฯ จึงมีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบตอบโต้ (Blowback) จากทั่วโลกในลักษณะสะสมและทวีคูณ
ในขณะที่ประเทศอื่นจะได้รับผลกระทบเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับการค้ากับสหรัฐฯ เท่านั้น การทำสงครามการค้าในวงแคบแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการต่อสู้ในทุกทิศทาง เพราะแรงกระแทกจากทั้งด้านอุปสงค์ (Demand Shock) และอุปทาน (Supply Shock) จะสะสมและส่งผลกระทบแบบทบต้น
สำหรับผู้นำที่พยายามประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจมหภาคจากนโยบายภาษีศุลกากร จุดเริ่มต้นที่สำคัญ คือ การจำแนกแยกแยะอย่างชัดเจนระหว่างแรงกระแทกทางอุปทาน (Supply Shocks) และ แรงกระแทกทางอุปสงค์ (Demand Shocks) แรงกระแทกทั้งสองประเภทนี้ขึ้นอยู่กับว่า เรากำลังพิจารณาจากมุมของประเทศผู้ส่งออก (Exporter) หรือ ผู้นำเข้า (Importer) และยังขึ้นอยู่กับว่า ประเทศนั้นเป็นผู้ออกมาตรการภาษี หรือเป็นประเทศที่ถูกเก็บภาษี
แรงกระแทกเหล่านี้ สามารถคาดการได้จากการวิเคราะห์ปริมาณการค้า รวมถึงผลกระทบที่น่าจะเกิดขึ้นของภาษีศุลกากรต่อระดับราคา การบริโภค และ การเติบโตทางเศรษฐกิจ
แรงกระแทกทางอุปทานของสหรัฐฯ ภาษีศุลกากรที่สหรัฐฯ กำหนด คือ ภาษีต่อสินค้านำเข้า ซึ่งภาระภาษีนี้จะถูกส่งผ่านต่อไปยังผู้บริโภคภายในประเทศ ซึ่งส่งผลให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น และทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นด้วย ซึ่งคล้ายกับผลกระทบที่เคยเกิดขึ้นหลังช่วงโควิดจากปัญหาห่วงโซ่อุปทาน
เงินเฟ้อที่สูงขึ้นจะลดรายได้ที่แท้จริงของประชาชน (Real Income) และส่งผลต่อความสามารถในการบริโภค ซึ่งจะเป็นปัจจัยฉุดรั้งการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)
และเนื่องจากสงครามการค้าที่เกิดขึ้นเป็นแบบ 360 องศา ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของภาษีในระดับที่สูงผิดปกติ แรงกระแทกทางอุปทานที่ตามมา จึงมีความรุนแรงมากเป็นพิเศษ ตามอัตราภาษีที่ประกาศ เมื่อวันที่ 2 เมษายน แรงกระแทกทางอุปทานที่เกิดขึ้นโดยตัวสหรัฐฯ เอง (Self-inflicted Supply Shock) จะทำให้การเติบโตของ GDP ในปี 2025 ลดลง 1.4% จากที่เคยคาดว่าจะเติบโต 1.9% การหดตัวดังกล่าวเกิดจากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งเป็นปัจจัยที่บั่นทอนพลังการบริโภค ซึ่งปกติแล้วเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสหรัฐฯ
แรงกระแทกทางอุปทานของประเทศคู่ค้า หากประเทศอื่น ๆ ตัดสินใจที่จะเก็บภาษีศุลกากรเพื่อตอบโต้ (Retaliatory Tariffs) ดังเช่นที่จีนได้ดำเนินการไปแล้วในขณะนี้ และประเทศอื่น ๆ ก็กำลังหารือกันอยู่ พวกเขาเองก็จะสร้างแรงกระแทกทางอุปทานใส่ตนเองเช่นเดียวกัน นั่นเพราะว่าสินค้าที่นำเข้าจากสหรัฐฯ จะมีราคาสูงขึ้น ทำให้เกิดเงินเฟ้อ การบริโภคที่ลดลง และการเติบโตที่ชะลอตัวตามมาในประเทศของตนเหมือนกับที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ
โดยทั่วไปแล้ว ประเทศส่วนใหญ่จะได้รับแรงกระแทกทางอุปทานที่เบากว่าสหรัฐฯ มาก หากพวกเขาเลือกที่จะตอบโต้ ประเทศเหล่านี้ จะเห็นการหดตัวของอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับประมาณ -0.1% ถึง -0.3% ของ GDP เท่านั้น ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับจำกัด สาเหตุที่ผลกระทบเบากว่า ก็เพราะว่า หากประเทศเหล่านี้ตัดสินใจตอบโต้ พวกเขาจะเก็บภาษีเฉพาะกับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เท่านั้น ไม่ได้ขยายไปยังหลายประเทศหรือหลายสินค้าเหมือนที่สหรัฐทำ
สำหรับแรงกระแทกทางอุปสงค์ ซึ่งเกิดควบคู่ไปกับนโยบายภาษีศุลกากรนั้น มีแนวโน้มว่า จะส่งผลกระทบต่อประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ มากกว่าที่จะกระทบสหรัฐฯ เอง เมื่อสหรัฐฯ กำหนดภาษีศุลกากรเพิ่มขึ้น สินค้าที่ส่งออกมายังสหรัฐฯ จากประเทศอื่น ๆ ก็จะมีราคาสูงขึ้น ส่งผลให้ความต้องการลดลง ระดับของผลกระทบนี้จะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา (Price Elasticity of Demand)
กล่าวคือ หากอุปสงค์มีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของราคา ผลกระทบจะรุนแรง แต่หากไม่อ่อนไหว ผลกระทบจะน้อย ไม่ว่าจะมีการตอบโต้ด้วยภาษีหรือไม่ก็ตาม ผลที่ตามมาก็คือ ประเทศผู้ส่งออกจะขายได้น้อยลงในตลาดสหรัฐฯ
สำหรับประเทศส่วนใหญ่ ผลกระทบจากแรงกระแทกด้านอุปสงค์นี้จะอยู่ที่ประมาณ -0.2% ถึง -0.6% ของอัตราการเติบโต GDP ซึ่งถือว่าเป็นผลกระทบที่มีนัยสำคัญ แต่ยังอยู่ในระดับที่สามารถรองรับได้
อย่างไรก็ตาม สำหรับบางประเทศที่โดนภาษีศุลกากรในระดับสูงผิดปกติ และมีการพึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในสัดส่วนสูง เช่น ประเทศเวียดนาม ผลกระทบจากอัตราภาษีอาจเลวร้ายถึงขั้นทำให้ GDP หดตัวมากกว่า -6% ซึ่งเป็นผลกระทบรุนแรงในระดับทำลายเศรษฐกิจ
แต่กระนั้นก็ตาม สหรัฐฯ ก็มีแนวโน้มที่จะเผชิญกับแรงต้านในการส่งออก (Export Headwinds) เช่นกัน เมื่อประเทศคู่ค้าเริ่มเก็บภาษีเพื่อตอบโต้ แม้ว่าการส่งออกจะไม่ได้มีสัดส่วนสำคัญมากต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อื่น ๆ เช่น เยอรมนี หรือ จีน
แต่เนื่องจากสหรัฐทำสงครามการค้าแบบ 360 องศา เมื่อผลกระทบจากแต่ละประเทศสะสมเข้าด้วยกัน ก็อาจสร้างผลกระทบที่มีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจของสหรัฐได้ในภาพรวม หากมีการตอบโต้จากประเทศคู่ค้าทั่วโลกอย่างเป็นวงกว้าง (Universal Retaliation) ผลกระทบต่อ GDP ของสหรัฐอาจอยู่ที่ประมาณ -0.5% ซึ่งถือว่าเป็นผลกระทบที่มีขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจของสหรัฐฯ อ่อนแออยู่แล้วในเบื้องต้น
สำหรับผลกระทบรองจากสงครามการค้า 360 องศา แม้ว่าแรงกระแทกทางอุปทานและอุปสงค์ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่เหมาะสมในการวิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐกิจ แต่ผู้บริหารก็ควรตระหนักถึงปัจจัยรองอีก 5 ประการ ที่สามารถส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจได้เช่นกัน ปัจจัยเหล่านี้ล้วนมีทิศทางที่เป็นลบต่อเศรษฐกิจ แม้ว่าบางครั้งในอดีตอาจเคยส่งสัญญาณหลอก (False Alarms) และในบางกรณีก็อาจให้ผลลัพธ์ดีกว่าที่คาดไว้ในช่วงที่การคาดการณ์มืดมน
1.ความเชื่อมั่น (Confidence) แรงกระแทกจากภาษีศุลกากรมีแนวโน้มจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและผู้บริโภค ซึ่งอาจทำให้เกิดความลังเลในการใช้จ่าย การลงทุน และการจ้างงาน แม้ว่าความเชื่อมั่นจะถูกใช้เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความแม่นยำของสัญญาณนี้กลับน่าสงสัย เช่น มีกรณีที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอยู่ในระดับต่ำแต่การบริโภคกลับยังแข็งแกร่งอยู่ อย่างไรก็ตาม หากความเชื่อมั่นลดลงอย่างรุนแรงก็ยังคงเป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญอย่างจริงจัง
2.ผลกระทบจากความมั่งคั่ง (Wealth Effects) ตลาดหุ้นดิ่งลงหลังจากความหวังของนักลงทุนที่ว่า ภาษีจะปรับขึ้นเพียงเล็กน้อยพังทลายลง เมื่อวันที่ 2 เมษายน ราคาหุ้นที่ลดลงนำไปสู่ความมั่งคั่งของนักลงทุนที่ลดลง ซึ่งกลายเป็นแรงต้านต่อการบริโภค และเป็นแรงกดดันต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ในภาพรวม งบดุลของครัวเรือนและบริษัทส่วนใหญ่ยังอยู่ในสถานะที่แข็งแกร่งในเชิงประวัติศาสตร์ และไม่ใช่ว่าทุกตลาดหมี (Bear Market) จะนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยเช่นในปี 2022 ที่ตลาดหุ้นสหรัฐตกลงกว่า 25% แต่เศรษฐกิจยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย
3.ความผิดพลาดของนโยบายการเงิน (Monetary Policy Errors) นโยบายการเงินมีเป้าหมายหลักสองประการ ได้แก่ การรักษาเสถียรภาพของราคา และการจ้างงานเต็มศักยภาพ แต่นโยบายภาษีศุลกากร จะผลักดันให้ราคาสินค้าสูงขึ้น หรือ เงินเฟ้อ
ในขณะเดียวกันก็ลดการเติบโตทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน แม้กระทั่งก่อนวันที่ 2 เมษายน ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ก็ได้เน้นย้ำถึง ระดับความไม่แน่นอนที่สูงขึ้นเกี่ยวกับเงินเฟ้อและการเติบโตอยู่แล้ว ดังนั้น เส้นทางข้างหน้าของ Fed จึงเปรียบเสมือนการเดินบนลวดลวดสลิงและเพิ่มความเสี่ยงของการผิดพลาดเชิงนโยบาย เช่น การตั้งอัตราดอกเบี้ยไว้สูงเกินไปหรือต่ำเกินไป
4.ความสามารถในการแข่งขัน (Competitiveness) แม้ว่าผู้คนมักมองว่า สินค้านำเข้าเป็นเพียงสินค้าสำหรับผู้บริโภค แต่ในความเป็นจริงแล้ว ประมาณ 50% ของสินค้านำเข้า คือ วัตถุดิบหรือเครื่องมือสำหรับการผลิตของธุรกิจอเมริกัน เช่น เครื่องจักรหรือเหล็ก
ดังนั้น ผลกระทบของการขึ้นภาษีจึงไม่ได้เกิดขึ้นแค่จากการบริโภคที่ลดลง เพราะราคาสินค้าแพงขึ้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผลกระทบเชิงลบต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตภายในประเทศ เพราะต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจากการใช้วัตถุดิบในประเทศแทนการนำเข้า
5.แรงกระแทกเพิ่มเติม (Additional Shocks) ยังมีความเสี่ยงจากแรงกระแทกอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นเพิ่มเติม ทั้งในลักษณะที่มาจากภายในระบบ (Endogenous) เช่น ความวุ่นวายทางการเงินที่เกิดจากนโยบายภาษี ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนทางการเงินเพิ่มสูงขึ้น และก่อให้เกิดหนี้เสียในระบบธนาคารตามมาอย่างไม่สามารถคาดการณ์ได้
หรืออาจเป็นแรงกระแทกที่มาจากภายนอกระบบ (Exogenous) เช่น สงคราม ภัยพิบัติธรรมชาติ พายุสุริยะ หรือโรคระบาด ซึ่งหากเกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจอ่อนแออยู่แล้ว ก็จะส่งผลร้ายแรงมากยิ่งขึ้น
ผู้บริหารควรจับตาช่องทางของผลกระทบรองเหล่านี้อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งทำความเข้าใจถึงกลไกและพลังของมัน เพื่อให้สามารถเตรียมความพร้อมและตอบสนองได้อย่างทันท่วงทีด้วยผลกระทบระยะยาวที่ไม่แน่นอน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงที่มีขนาดใหญ่และขยายตัวในวงกว้าง เช่น ระบบภาษีศุลกากรที่เปลี่ยนไปอย่างมากเช่นนี้ มีแนวโน้มที่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจในเชิงโครงสร้างระยะยาว (Structural Impact) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้