ธปท.ปรับลดจีดีพีปี 68 เหตุเศรษฐกิจไทยรับภาวะช็อคเพิ่มจากภาษีทรัมป์

17 เม.ย. 2568 | 10:15 น.
อัปเดตล่าสุด :17 เม.ย. 2568 | 13:05 น.

ธปท.จ่อปรับลดคาดการณ์จีดีพีปี 68 ใหม่ จากประมาณการเดิม 2.5% หลังเศรษฐกิจไทยรับความเสี่ยงสูงขึ้น หลังทรัมป์ ประกาศภาษีตอบโต้ ก่อสงครามการค้ารุนแรงขึ้น

นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)กล่าวใน Media Briefing หัวข้อ “วิเคราะห์ผลกระทบเบื้องต้นของนโยบายการค้าโลกต่อเศรษฐกิจไทย”ว่า เศรษฐกิจไทยได้รับภาวะช็อคเพิ่มขึ้นและมีความเสี่ยงสูงขึ้น

ธปท.ปรับลดจีดีพีปี 68 เหตุเศรษฐกิจไทยรับภาวะช็อคเพิ่มจากภาษีทรัมป์

ดังนั้น แนวโน้มประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ต้องปรับลดลง  จากก่อนหน้าที่ธปท.คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้เกิน 2.5% ส่วนจะปรับลดลงเท่าไหร่นั้น ต้องรอดูพัฒนาการภาษีตอบโต้ (Tariff  Trump ) ก่อน   

“Tariff เป็นเครื่องมือ ทำให้สหรัฐฯ ลดการนำเข้าและเพิ่มการผลิต ซึ่งผลต่อสหรัฐในระยะสั้น จะเห็นช็อคในภาคการผลิตหรือ Negative Supply Shock”

ธปท.ปรับลดจีดีพีปี 68 เหตุเศรษฐกิจไทยรับภาวะช็อคเพิ่มจากภาษีทรัมป์

สิ่งที่ตามมาคือ เงินเฟ้อสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น และเศรษฐกิจของสหรัฐมีโอกาสจะชะลอลงจากราคานำเข้า หรือผลต่อตลาดการเงินโลก ซึ่งเห็นผลแล้ว จากการที่คนขายสินทรัพย์เสี่ยง ทำให้ราคาลดลงกระทบภาวะการเงินประเทศต่างๆรวมทั้งไทยด้วย

“ผลกระทบที่จะมาทั้งช่องทางตลาดการเงิน(ความผันผวนปรับเพิ่มขึ้นเร็วมาก ดอลลาร์อ่อนค่าค่อนข้างเร็วทำให้สกุลเงินอื่นๆปรับตัวแข็งค่าขึ้น) การเทขายสินทรัพย์เสี่ยง ตลาดหุ้นรวมทั้งหุ้นไทยด้วย”

อย่างไรก็ดี ด้านตลาดการเงินไทย มีกันชนค่อนข้างดี เช่น หนี้ต่างประเทศน้อย  มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศค่อนข้างสูง ช่วงที่ผ่านมาผลกระทบค่อนข้างน้อย แต่คาดว่า ตลาดการเงินโลกยังมีความผันผวนต่อไปจากความไม่แน่นอนสูง โดยต้องติดตามภาวะการเงินของกลุ่มที่ส่งออกไปสหรัฐ ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจาก Tariff

ส่วนช่องทางการลงทุนผลกระทบได้เกิดขึ้นแล้ว โดยได้พูดคุยกับ18 ผู้ประกอบการใน  5อุตสหกรรมของไทย(กลุ่มอาหาร  กลุ่มเครื่องจักร  ยยานยนต์และชิ้นส่วน  เครื่องใช้ไฟฟ้า  อิเลคทรอนิกส์)   ที่ส่งออกไปสหรัฐหลักๆ ประมาณ 75% ของการส่งออกของไทย

ธปท.ปรับลดจีดีพีปี 68 เหตุเศรษฐกิจไทยรับภาวะช็อคเพิ่มจากภาษีทรัมป์

หากนับรวมเม็ดเงินทั้ง 5 อุตสาหกรรมที่ส่งออกไปสหรัฐประมาณ 70,000 ล้านบาท คิดเป็น 8% ของบีโอไอทั้งหมด หรือประมาณ 3%ของการลงทุนภาคเอกชนของประเทศไทย

เบื้องต้นเริ่มเห็นการชะลอการผลิตและการลงทุนบ้าง (รอผลTariff) และ 1-2ปีข้างหน้าจะมีการลงทุนโดยตรง(FDI)เข้ามามากน้อยแค่ไหน  ทั้งนี้ต้องติดตามการลงทุนต่อไป

สำหรับโครงสร้างของการค้า โดยช่วงที่ผ่านมา สหรัฐขาดดุลการค้าต่อโลกเพิ่มสูงขึ้นค่อนข้างเร็ว จึงเป็นที่มาของสหรัฐต้องการปรับสมดุล หรือลดการนำเข้า เพิ่มการผลิตภายในให้มากขึ้น ส่วนใหญ่เป็นประเทศในอาเซียนรวมไทยด้วย ซึ่งประเทศที่มีการค้าขายที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐจะได้รับผลกระทบและต้องปรับตัวค่อนข้างมาก

การส่งออกไทยไปสหรัฐในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 18.3% ครอบคลุมใน 5อุตสาหกรรมหลัก ซึ่งหากมีภาษีปรับขึ้นแรกกลุ่มที่พึ่งผิงส่งออกไปสหรัฐต้องปรับตัว เช่น กลุ่มอิเลคทรอนิกส์ส่งออกไปสหรัฐ 5%ของการส่งออกทั้งหมด  ในแง่ผลกระทบของTariffจะไม่เท่ากันขึ้นอยู่มาตรการดูแลเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบสูง

“ช่องทางอุปสงค์ของโลกหรือ Global Demand  Shock จะให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์โน้มลดลง  โดยเงินเฟ้อของสหรัฐมีแนวโน้มจะปรับเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันเงินเฟ้อของโลกจะปรับลดลงจากปัจจัยอุปทานซึ่งจะกระทบเงินเฟ้อของไทยในระยะต่อไป”

สำหรับผลต่อเศรษฐกิจการเงินไทย ในระยะสั้นการลงทุนบางสวนชะลอ  ขณะที่ผลของ Tariff  ต่อการส่งออกจะชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และผลกระทบขึ้นอยู่กับภาษีที่ไทยจะถูกจัดเก็บเทียบกับประเทศคู่ค้า และการตอบโต้ของประเทศเศรษฐกิจหลักและสหรัฐ

อย่างไรก็ดี ผลกระทบ/ช็อคเริ่มทะยอยเข้ามา ซึ่งต้องปรับตัว โดยต้องปรับตัวรับมือกับการแข่งขันจากต่างประเทศ กำหนดมาตรฐานนำเข้า คุ้มครองผู้บริโภครวมถึงการทุ่มตลาดและเข้มงวดตรวจสอบสินค้าก่อนส่งออกไปสหรัฐป้องกันการสวมสิทธิ

ส่วนระยะยาวให้ความสำคัญกับการกระจายความเสี่ยง เช่น  หาตลาดใหม่หรือสร้างซัพพลายเชน เพราะปัจจุบันสหรัฐนำเข้า 13%ของโลก โดยสหรัฐเหลือการนำเข้าอีก 85%จึงเป็นโอกาสที่สามารถปรับโครงสร้างหรือต่อยอดได้

ทั้งนี้ เมื่อเทียบผลทางตรงอัตราภาษีต่อการส่งออกไปสหรัฐรวม 18.3% อัตราภาษีนำเข้า 1.7%ณ วันที่ 20ม.ค. และอัตราภาษีนำเข้าส่วนเพิ่ม ณ วันที่ 17เม.ย.อยู่ที่ 9.3% เท่ากับ 11% มูลค่าเพิ่มจากการส่งออกต่อจีดีพี 2.2%

ซึ่งสงครามการค้าจะมีผลให้ส่วนนี้(สมมติ) ลดลง20% หมายความว่า จีดีพีจะหายไป 0.4%   โดยประกอบด้วย 3กลุ่มคือ

  • กลุ่ม Sectoral Tariff   อัตราภาษีนำเข้าเดิม 20ม.ค.อยู่ที่ 2.4% บวกอัตราภาษีนำเข้าส่วนเพิ่ม25%ณ วันที่ 17เม.ย.มูลค่าเพิ่มจากการส่งออกต่อจีดีพี 0.9% 
  • กลุ่ม Reciprocal Tariff  (เลื่อน90วัน) เดิมอัตราภาษีนำเข้า 2.4% บวกอัตราภาษีนำเข้าส่วนเพิ่มอีก 10% มูลค่าเพิ่มจากการส่งออกต่อจีดีพี1.2%
  • กลุ่ม sectoral Tariff ที่ยังไม่ขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจากการส่งออกต่อจีดีพี 0.1%