นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)กล่าวใน Media Briefing หัวข้อ “วิเคราะห์ผลกระทบเบื้องต้นของนโยบายการค้าโลกต่อเศรษฐกิจไทย”ว่า เศรษฐกิจไทยได้รับภาวะช็อคเพิ่มขึ้นและมีความเสี่ยงสูงขึ้น
ดังนั้น แนวโน้มประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ต้องปรับลดลง จากก่อนหน้าที่ธปท.คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้เกิน 2.5% ส่วนจะปรับลดลงเท่าไหร่นั้น ต้องรอดูพัฒนาการภาษีตอบโต้ (Tariff Trump ) ก่อน
“Tariff เป็นเครื่องมือ ทำให้สหรัฐฯ ลดการนำเข้าและเพิ่มการผลิต ซึ่งผลต่อสหรัฐในระยะสั้น จะเห็นช็อคในภาคการผลิตหรือ Negative Supply Shock”
สิ่งที่ตามมาคือ เงินเฟ้อสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น และเศรษฐกิจของสหรัฐมีโอกาสจะชะลอลงจากราคานำเข้า หรือผลต่อตลาดการเงินโลก ซึ่งเห็นผลแล้ว จากการที่คนขายสินทรัพย์เสี่ยง ทำให้ราคาลดลงกระทบภาวะการเงินประเทศต่างๆรวมทั้งไทยด้วย
“ผลกระทบที่จะมาทั้งช่องทางตลาดการเงิน(ความผันผวนปรับเพิ่มขึ้นเร็วมาก ดอลลาร์อ่อนค่าค่อนข้างเร็วทำให้สกุลเงินอื่นๆปรับตัวแข็งค่าขึ้น) การเทขายสินทรัพย์เสี่ยง ตลาดหุ้นรวมทั้งหุ้นไทยด้วย”
อย่างไรก็ดี ด้านตลาดการเงินไทย มีกันชนค่อนข้างดี เช่น หนี้ต่างประเทศน้อย มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศค่อนข้างสูง ช่วงที่ผ่านมาผลกระทบค่อนข้างน้อย แต่คาดว่า ตลาดการเงินโลกยังมีความผันผวนต่อไปจากความไม่แน่นอนสูง โดยต้องติดตามภาวะการเงินของกลุ่มที่ส่งออกไปสหรัฐ ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจาก Tariff
ส่วนช่องทางการลงทุนผลกระทบได้เกิดขึ้นแล้ว โดยได้พูดคุยกับ18 ผู้ประกอบการใน 5อุตสหกรรมของไทย(กลุ่มอาหาร กลุ่มเครื่องจักร ยยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเลคทรอนิกส์) ที่ส่งออกไปสหรัฐหลักๆ ประมาณ 75% ของการส่งออกของไทย
หากนับรวมเม็ดเงินทั้ง 5 อุตสาหกรรมที่ส่งออกไปสหรัฐประมาณ 70,000 ล้านบาท คิดเป็น 8% ของบีโอไอทั้งหมด หรือประมาณ 3%ของการลงทุนภาคเอกชนของประเทศไทย
เบื้องต้นเริ่มเห็นการชะลอการผลิตและการลงทุนบ้าง (รอผลTariff) และ 1-2ปีข้างหน้าจะมีการลงทุนโดยตรง(FDI)เข้ามามากน้อยแค่ไหน ทั้งนี้ต้องติดตามการลงทุนต่อไป
สำหรับโครงสร้างของการค้า โดยช่วงที่ผ่านมา สหรัฐขาดดุลการค้าต่อโลกเพิ่มสูงขึ้นค่อนข้างเร็ว จึงเป็นที่มาของสหรัฐต้องการปรับสมดุล หรือลดการนำเข้า เพิ่มการผลิตภายในให้มากขึ้น ส่วนใหญ่เป็นประเทศในอาเซียนรวมไทยด้วย ซึ่งประเทศที่มีการค้าขายที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐจะได้รับผลกระทบและต้องปรับตัวค่อนข้างมาก
การส่งออกไทยไปสหรัฐในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 18.3% ครอบคลุมใน 5อุตสาหกรรมหลัก ซึ่งหากมีภาษีปรับขึ้นแรกกลุ่มที่พึ่งผิงส่งออกไปสหรัฐต้องปรับตัว เช่น กลุ่มอิเลคทรอนิกส์ส่งออกไปสหรัฐ 5%ของการส่งออกทั้งหมด ในแง่ผลกระทบของTariffจะไม่เท่ากันขึ้นอยู่มาตรการดูแลเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบสูง
“ช่องทางอุปสงค์ของโลกหรือ Global Demand Shock จะให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์โน้มลดลง โดยเงินเฟ้อของสหรัฐมีแนวโน้มจะปรับเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันเงินเฟ้อของโลกจะปรับลดลงจากปัจจัยอุปทานซึ่งจะกระทบเงินเฟ้อของไทยในระยะต่อไป”
สำหรับผลต่อเศรษฐกิจการเงินไทย ในระยะสั้นการลงทุนบางสวนชะลอ ขณะที่ผลของ Tariff ต่อการส่งออกจะชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และผลกระทบขึ้นอยู่กับภาษีที่ไทยจะถูกจัดเก็บเทียบกับประเทศคู่ค้า และการตอบโต้ของประเทศเศรษฐกิจหลักและสหรัฐ
อย่างไรก็ดี ผลกระทบ/ช็อคเริ่มทะยอยเข้ามา ซึ่งต้องปรับตัว โดยต้องปรับตัวรับมือกับการแข่งขันจากต่างประเทศ กำหนดมาตรฐานนำเข้า คุ้มครองผู้บริโภครวมถึงการทุ่มตลาดและเข้มงวดตรวจสอบสินค้าก่อนส่งออกไปสหรัฐป้องกันการสวมสิทธิ
ส่วนระยะยาวให้ความสำคัญกับการกระจายความเสี่ยง เช่น หาตลาดใหม่หรือสร้างซัพพลายเชน เพราะปัจจุบันสหรัฐนำเข้า 13%ของโลก โดยสหรัฐเหลือการนำเข้าอีก 85%จึงเป็นโอกาสที่สามารถปรับโครงสร้างหรือต่อยอดได้
ทั้งนี้ เมื่อเทียบผลทางตรงอัตราภาษีต่อการส่งออกไปสหรัฐรวม 18.3% อัตราภาษีนำเข้า 1.7%ณ วันที่ 20ม.ค. และอัตราภาษีนำเข้าส่วนเพิ่ม ณ วันที่ 17เม.ย.อยู่ที่ 9.3% เท่ากับ 11% มูลค่าเพิ่มจากการส่งออกต่อจีดีพี 2.2%
ซึ่งสงครามการค้าจะมีผลให้ส่วนนี้(สมมติ) ลดลง20% หมายความว่า จีดีพีจะหายไป 0.4% โดยประกอบด้วย 3กลุ่มคือ