KEY
POINTS
ประการที่ 4 การผลักดันโครงการขนาดใหญ่ (Mega Projects) ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านคงเห็นด้วยกับผมว่า ในช่วงกว่า 3 ทศวรรษหลัง จีนนับเป็นประเทศที่พัฒนาเทคโนโลยี โนว์ฮาว และประสบการณ์ด้านวิศวกรรมการก่อสร้างที่มากที่สุดในโลก
โดยจีนได้สร้างโครงการขนาดใหญ่ระดับโลกอย่างต่อเนื่อง เช่น เครือข่ายเส้นทางรถไฟความเร็วสูง โครงข่ายรถไฟใต้ในหลายเมืองใหญ่ อุโมงค์ใต้ทะเลเจียโข่ว-ชิงเต่า (Jiaozhou Bay Tunnel) สะพานข้ามทะเลฮ่องกง-จูไห่-มาเก๊า และท่าเรือหยางซาน (Yangshan Port) ที่เชื่อมโยงกับสะพานข้ามทะเลบริเวณเขตพิเศษหลินกั่ง (Lingang) ที่มีความยาวกว่า 32 กิโลเมตร รวมทั้งสนามบินนานาชาติต้าชิง (Daxing) ทางตอนใต้ของกรุงปักกิ่ง
โครงการเมืองใหม่ก็ผุดขึ้นในหลายภูมิภาคของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขตเมืองใหม่ผู่ตง (Pudong) ที่เซี่ยงไฮ้ เขตความร่วมมือเฉียนไห่ (Qianhai) ที่เซินเจิ้น และ เขตเมืองใหม่สวงอัน (Xiong’an) มณฑลเหอเป่ย รวมทั้งเกาะเทียมที่เกิดขึ้นจากการถมทะเลของเขตเหิงฉิน (Hengqin) ที่อยู่ภายใต้การบริหารของมาเก๊าและเขตจู่ไห่ (Zhuhai)
จีนยังก่อสร้างอาคารสูงเป็นจำนวนมาก อาทิ เซี่ยงไฮ้ทาวเวอร์ (Shanghai Tower) อาคารที่สูงที่สุดในจีน ศูนย์กลางการเงินผิงอัน (Ping An Finance Center) ใจกลางเมืองเซินเจิ้น และแคนตันทาวเวอร์ (Canton Tower) ในนครกวางโจว ที่มีอุปกรณ์เล่น “Bubble Tram” ที่ทำเอาพรรคพวกหลายคนเพิ่งรู้ว่าตนเองกลัวความสูงเมื่อไปทดลองนั่ง
รวมไปถึงโครงการพลังงานและนิคมอัจฉริยะ อาทิ เขื่อนสามผาที่กั้นแม่น้ำแยงซีเกียงบริเวณเมืองอี๋ชาง (Yichang) มณฑลหูเป่ย และโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์เจนใหม่ โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิตัล และนิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะที่กระจายตัวในหลายหัวเมืองของจีน
การดำเนินโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่เหล่านี้มีประสิทธิภาพสูงกว่าที่ทุกประเทศเคยทำมา ซึ่งช่วยให้การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจีนในระดับมหภาคเป็นไปอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน เมื่อโรงงานของกิจการบิ๊กเทค สามารถเปิดสายการผลิตได้เร็วกว่าของประเทศอื่นถึงราว 3 เท่าตัว ก็ช่วยสร้างรายได้และลดค่าใช้จ่าย และความเสี่ยงที่เทคโนโลยีจะล้าสมัยไปได้มาก
นอกจากนี้ โครงการขนาดใหญ่เหล่านี้ ยังทำหน้าที่เป็นเสมือน “โรงเรียนภาคสนาม” ที่ช่วยยกระดับความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ด้านวิศวกรรมศาสตร์ให้กับบุคลากรจีนไปอีกระดับหนึ่ง
ผมเชื่อมั่นว่า จีนจะยังไม่หยุดการพัฒนาในประเทศเท่านั้น แต่ยังจะขยายการดำเนินโครงการในต่างประเทศอีกด้วย ดังนั้น การดำเนินโครงการขนาดใหญ่ จึงคาดว่าจะช่วยเสริมสร้างวิศวกรชั้นนำระดับโลกอีกมากในระยะยาว
ประการที่ 5 การสร้างวัฒนธรรมใหม่และระบบการเลื่อนตำแหน่งแบบเน้นผลงาน จีนมีความเชื่อว่า วัฒนธรรม “วิศวกรเป็นผู้สร้างชาติ” ทำให้วิศวกรได้รับการยกย่องว่าเป็น “กำลังหลักของความทันสมัย”
นั่นเท่ากับว่า วิศวกรมีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของสาธารณชน การประกอบอาชีพวิศวกร ยังถือเป็นเส้นทางอาชีพที่มั่นคง และมีรายได้สูง ยิ่งหากมีผลงานดี วิศวกรสามารถก้าวข้าม “ระบบอาวุโส” และเติบโตในสายงานอาชีพได้อย่างรวดเร็ว
ยกตัวอย่างเช่น วิศวกรในวัย 30-35 ปี อาจเป็นหัวหน้าโรงงานหรือหัวหน้าโครงการใหญ่ วัย 40 ปี อาจก้าวขึ้นเป็นรองประธานบริษัทเทคโนโลยี ขณะที่นักวิจัยอายุน้อยได้รับตำแหน่งสำคัญในโครงการยุทธศาสตร์ เหล่านี้ทำให้คนรุ่นใหม่อยากศึกษาต่อในด้านวิศวกรรมศาสตร์มากขึ้น ดังจะเห็นได้ว่า เด็กจีนจำนวนมากมุ่งเลือกสาย STEM และสาขาวิศวกรรมศาสตร์
ประการที่ 6 การผลิตบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาที่มีคุณภาพสูง จีนสร้างระบบการผลิตนักวิจ้ยที่มีคุณภาพสูงแบบ “ปิรามิด” ที่เชื่อมโยงรัฐ-มหาวิทยาลัย-อุตสาหกรรมเข้าด้วยกัน
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จีนยังพัฒนาระบบมหาวิทยาลัยวิจัย (Research University System) ที่คัดเลือกเอาสถาบันการศึกษาชั้นนำ เข้าร่วมโครงการระดับประเทศ อาทิ โครงการ 985 และโครงการ 211
และเพื่อยกระดับสู่มหาวิทยาลัยวิจัยคุณภาพสูงระดับโลก มหาวิทยาลัยเหล่านี้ จึงได้รับการสนับสนุนให้จัดตั้งห้องปฏิบัติการแห่งชาติ งบวิจัยและพัฒนาจำนวนมาก สิทธิ์ในการออกแบบหลักสูตรขั้นสูง และความร่วมมือกับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างพร้อมสรรพ ซึ่งเป็นการเชื่อมห่วงโซ่การศึกษา ห่วงโซ่นวัตกรรม ห่วงโซ่อุตสาหกรรมเข้ากันอย่างสมบูรณ์
นอกจากนี้ จีนยังดึงดูดผู้เชี่ยวชาญชาวจีนโพ้นทะเลและต่างชาติ (Global Talents) เข้ามาเสริมบุคลากรที่จีนมีอยู่เดิม แต่ในประเด็นนี้ ผมสังเกตว่า จีนมีแนวโน้มลดระดับการพึ่งพาบุคลากรของต่างชาติโดยลำดับ
โดยที่ NQPFs ต้องการบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในอีกระดับหนึ่ง จีนจึงมุ่งผลิตนักวิจัยชั้นนำ และดึงดูดคนเก่งในด้าน AI ควอนตัม วัสดุใหม่ และไบโอเทค ผ่านหลากหลายโครงการเพื่อสร้างนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ อาทิ โครงการ “Young Top Talents” และโครงการ “Ten Thousand Talents Program” รวมทั้งกองทุนนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ดีเด่น และมาตรการให้วีซ่าพิเศษแก่ผู้เชี่ยวชาญ
นอกจากนี้ จีนยังสนับสนุนงบวิจัยระดับสูง ลงทุนก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก และสนับสนุนส่งเสริมให้เมืองชั้นนำกลายเป็นศูนย์กลาง “คนเก่ง” (Talent Hub) เช่น เซินเจิ้นด้าน AI และหุ่นยนต์ ปักกิ่งด้านชิป ควอนตัมและไฮโดรเจน เซี่ยงไฮ้ด้านไบโอเทค สายการผลิตอัตโนมัติ และพลังงานใหม่ หังโจวด้านเศรษฐกิจดิจิตัลและอีคอมเมิร์ซ
ประการสุดท้าย การใช้กฎหมายเป็นกลไกสนับสนุนการสร้างคน นี่ถือเป็นวิธีการใหม่ที่จีนหันมาใช้ เพื่อช่วยให้ความฝันของจีนที่จะก้าวขึ้นเป็นประเทศชั้นนำด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภายในปี 2035 บังเกิดขึ้น
ในอดีต ความนิยมทางวิทยาศาสตร์ในจีน ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการปัดเป่าไสยศาสตร์และส่งเสริมการอ่านออกเขียนได้ และเมื่อก่อตั้งเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน ในปี 1949 จีนพยายามมุ่งเน้นไปที่ข้อความด้านสุขภาพขั้นพื้นฐาน เช่น อันตรายจากการดื่มน้ำที่ไม่ผ่านการบำบัด
หลังจากนั้น บทบาทของการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ ก็ค่อยๆ เติบโตขึ้น และขยายไปสู่การแบ่งปันความรู้ด้านการเกษตรและเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการประกาศเปิดประเทศสู่โลกภายนอกในสมัย เติ้ง เสี่ยวผิง เมื่อปี 1978 ที่วิทยาศาสตร์ถูกกำหนดเป็นส่วนหนึ่งของ “4 ทันสมัย”
จีนทำอะไร “นอกกรอบ” ที่ประเทศอื่นไม่เคยทำอีกหรือไม่ คุยกันต่อตอนหน้าครับ ...
คอลัมน์มังกรกระพือปีก โดย...ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4160 หน้า 4