ฉงชิ่ง (Chongqing) มหานครแห่งซีกตะวันตกของจีน (1)

23 พ.ย. 2568 | 07:37 น.
อัปเดตล่าสุด :23 พ.ย. 2568 | 07:53 น.

ฉงชิ่ง (Chongqing) มหานครแห่งซีกตะวันตกของจีน (1) : คอลัมน์มังกรกระพือปีก โดย...ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4151

KEY

POINTS

  • ฉงชิ่งได้รับการยกระดับเป็นเทศบาลมหานครที่ขึ้นตรงต่อรัฐบาลกลางในปี 1997 ทำให้เป็นมหานครแห่งเดียวในภาคตะวันตกของจีน และมีขนาดพื้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก
  • มีลักษณะภูมิประเทศที่เป็นเอกลักษณ์ทั้ง "เมืองภูเขา" จากการตั้งอยู่บนเนินเขาสูง และ "เมืองแม่น้ำ" จากการเป็นจุดบรรจบของแม่น้ำแยงซีเกียงและแม่น้ำเจียหลิง
  • เป็นศูนย์กลางการค้าและการคมนาคมทางน้ำที่สำคัญของจีนตะวันตก และมีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยวจากเศรษฐกิจยามค่ำคืน (ราตรีโคโนมี) ที่มีการล่องเรือชมแสงสีริมแม่น้ำ

ผมใช้เวลาอยู่นานว่า ฉบับนี้จะพาท่านผู้อ่านไปส่องเมืองไหนของจีน ตามคำเรียกร้องของ FC คิดไปมาอยู่พักใหญ่ก็ทำให้ผมนึกถึง “ฉงชิ่ง” (Chongqing) มหานคร “น้องใหม่” ของจีน ที่ผมมีโอกาสพาคณะผู้ประกอบการไทย ไปส่องลู่ทางและโอกาสทางธุรกิจเมื่อไม่นานมานี้ขึ้นมา 

แถมในช่วงหลังมหานครแห่งนี้ ก็สร้างชื่อเสียงมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในหมู่ชาวจีนและต่างชาติ รวมไปถึงนักท่องเที่ยวชาวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรุ่นใหม่ที่พูดถึง “ความมีสีสัน” ของฉงชิ่งกันขรมไปหมด แต่บทความนี้จะขอแทรกประเด็นและแง่มุมทางธุรกิจเอาไว้ด้วยครับ ... 

อันที่จริง หากย้อนกลับไปเมื่อราว 20 ปีก่อน คนไทยส่วนใหญ่รู้จัก และมักเลือกแวะเวียนไปเที่ยวเฉพาะเมืองใหญ่ของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งศูนย์กลางทางการเมืองอย่างปักกิ่ง หรือ เมืองธุรกิจอย่างเซี่ยงไฮ้ กวางโจว และเซินเจิ้น และอาจไปชื่นชมประวัติศาสตร์ที่ซีอาน หรือบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติหรือตีกอล์ฟที่คุนหมิง 

แต่ในช่วง 10 ปีหลัง คนไทยไปเที่ยวบางเมืองใหญ่น้อยลง อาจเป็นเพราะรู้จักจีนในวงกว้างมากขึ้น และลัดเลาะเข้าไปในเมืองรองระดับ 2-4 มากขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน 

บางครั้งที่ผมอยู่ระหว่างพาผู้ประกอบการไทย เดินทางไปสำรวจลู่ทางและโอกาสทางธุรกิจของเมืองรองในจีน ก็ได้พบกับ FC ที่กำลังเดินทางไปท่องเที่ยวในเมืองเดียวกันก็มี บางครั้งผมยังสงสัยว่า FC ของผมรู้จัก และเที่ยวไกลในจีนขนาดนี้เลยหรือ สิ่งนี้สะท้อนว่า คนไทยรู้จักเมืองจีนมากขึ้นโดยลำดับ และอาจเป็นพื้นฐานสำหรับการประกอบธุรกิจกับจีนในอนาคต 

“ฉงชิ่ง” เป็นเมืองหนึ่งในนั้นที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ถือเป็น “เมืองเก่า” ใน “ชื่อใหม่” แต่สาเหตุที่เมืองนี้ ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก ก็เพราะบางท่านอาจรู้จักเมืองนี้กันในนามของเมือง “จุงคิง” (Chungking) ในบางยุคสมัย “เจียงโจว” (Jiangzhou) ในราชวงศ์ฉิน (Qin) และฮั่น (Han) “หยูโจว” (Yuzhou) ในยุคราชวงศ์ชุย (Sui) ซึ่งมาจากชื่อโบราณของแม่น้ำเจียหลิง “หยูสุ่ย” (Yushui) ที่ยังคงเป็นตัวย่อของฉงชิ่ง หรือ “กงโจว” (Gongzhou) ในช่วงราชวงศ์ซ่งเหนือ (Northern Song) ก่อนเปลี่ยนเป็นฉงชิ่งในปัจจุบัน

อย่างไรก็ดี ชื่อเมืองในปัจจุบันได้มาตอนที่บุรุษนาม “กวงจง” ได้รับสถาปนาเป็นองค์รัชทายาทในยุคซ่งใต้ และต่อมาได้เถลิงราชสมบัติเป็นฮ่องเต้ จึงเสมือนกับมี “ซวงฉงสี่ชิ่ง” ที่อาจแปลว่า “มงคล 2 ชั้น” (Double Happiness) ภายหลังพระองค์ทรงขึ้นเป็นฮ่องเต้จึงย่อเหลือเพียงคำว่า “ฉงชิ่ง” นัยว่ามงคลแรกหมายถึง การที่พระองค์ได้รับพระราชทานแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท และมงคลที่ 2 หมายถึง การที่พระองค์ทรงขึ้นเป็นฮ่องเต้

ฉงชิ่ง มีชื่อและสมญานามที่หลากหลาย อาทิ การเคยเป็น “เมืองหลวงรอง” ของมณฑลเสฉวนในหลายยุคสมัย หรือในทศวรรษ 1940 รัฐบาลก๊กมินตั๋ง ก็เคยยกระดับเป็นเมืองหลวงในช่วงเวลาสั้นๆ โดยครั้งนั้น ใช้เป็นฐานตั้งมั่นเพื่อต่อสู้กับการรุกรานของกองทัพญี่ปุ่นในยุคเรืองอำนาจที่เข้ามารุกรานจีน

ฉงชิ่ง จึงถูกเปรียบเปรยว่าเป็น “นครแห่งสงคราม” แต่ภายหลังสงครามดังกล่าวยุติลง ฉงชิ่งดูเหมือนจะเป็นเมืองที่ถูกลืมไปอยู่นาน

เหตุการณ์สำคัญที่พลิกผันให้เมืองนี้ กลับมามีความสำคัญมากในยุคหลังการเปิดประเทศสู่ภายนอก และผมเชื่อว่าจะทวีความสำคัญยิ่งขึ้นในอนาคต เกิดขึ้นเมื่อรัฐบาลจีนกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาซีกตะวันตก (Western Development Strategy) ของจีน และยกระดับเมืองนี้ขึ้นเป็น “เทศบาลมหานคร” ขึ้นตรงต่อรัฐบาลกลาง เมื่อปี 1997 เฉกเช่นเดียวกับปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และ เทียนจิน 

ผลจากการนี้ ทำให้ฉงชิ่งกลายเป็นมหานครเพียง “แห่งเดียว” ของซีกตะวันตกของจีน โดยรัฐบาลกลางได้อนุมัติให้ผนวกเอาเขตปริมณฑลที่อยู่รายรอบของเมืองนี้เดิมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของมหานครแห่งใหม่ และมีพื้นที่โดยรวม 82,400 ตารางกิโลเมตร ถือเป็นมหานครที่ใหญ่ที่สุดในโลก 

หากเทียบกับมหานครอื่น ฉงชิ่งก็มีพื้นที่ราว 2.4 เท่าของปักกิ่ง (16,800 ตร.ม.) เทียนจิน (11,920 ตร.ม.) และ เซี่ยงไฮ้ (6,340 ตร.ม.) รวมกัน อย่างไรก็ดี ความเป็นชุมชนเมืองของฉงชิ่ง จัดได้ว่าค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับมหานครอื่น

ขณะที่หากเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ฉงชิ่ง มีขนาดพื้นที่สูสีกับของเวลส์และออสเตรีย หรือประมาณ 3 เท่าของเบลเยี่ยม ผมประเมินโดยสายตา พื้นที่โดยรวมของฉงชิ่ง อยู่ที่ราวครึ่งหนึ่งของพื้นที่ภาคอีสานของไทย

ฉงชิ่ง ตั้งอยู่บนเนินและภูเขาสูง จึงไม่ค่อนเห็นคนใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน ถ้าไม่ใช้รถยนต์ ผู้คนที่มีก็เลือกใช้จักรยานไฟฟ้าเป็นพาหนะ มิฉะนั้นคงต้องปั่นกันจนน่องโป่งเป็นแน่ ดังนั้น เวลาไปเยือนเมืองนี้ในยุคหลังที่ “เศรษฐกิจแบ่งปัน” (Shared Economy) กำลังเฟื่องฟู เราจึงเห็นโอกาสทางธุรกิจของ “จักรยานไฟฟ้าเช่า” ในเมืองนี้มากกว่า “จักรยานเช่า” 

                                    ฉงชิ่ง (Chongqing) มหานครแห่งซีกตะวันตกของจีน (1)

นอกจากนี้ ในบริเวณใจกลางเมืองยังตั้งอยู่เหนือแม่น้ำ 2 สายหลักอันได้แก่ ฉางเจียง (Chang Jiang) หรือ ที่คนไทยนิยมเรียกว่า “แยงซีเกียง” (Yangtze River) และ เจียหลิง (Jialing Jiang) แม่น้ำสาขา “ต่างสี” ที่ไหลพาดผ่านและมาบรรจบกัน ทำให้มีทัศนียภาพที่แปลกตาจากหลายเมืองทางด้านซีกตะวันออก ที่เป็นพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำ หลายคนจึงขนานนามฉงชิ่งว่า “เมืองแม่น้ำ” (River Town) อีกด้วย

ผมพยายามนึกเปรียบเทียบบริเวณใจกลางเมืองฉงชิ่งกับไทย ก็ทำให้นึกถึงสภาพของอยุธยา ที่มีแม่น้ำเจ้าพระยาและป่าสักไหลมาบรรจบกัน 

โดยที่สายน้ำที่เชื่อมต่อไปจนถึงปากแม่น้ำแยงซีเกียง “อกไก่” ฉงชิ่ง จึงเป็นศูนย์กลางธุรกิจการค้าในพื้นที่ด้านซีกตะวันตก และภายหลังการก่อสร้างเขื่อนสามผา (Three Gorges Dam) บริเวณเมืองอี๋ชาง (Yichang) มณฑลหูเป่ย กระแสน้ำที่เคยเชี่ยวกรากในฤดูฝน ก็ลดระดับความแรงลง 

เมื่อผนวกกับการจัดระเบียบในเส้นทางการจราจรทางน้ำ การดูแลสายน้ำที่แทบหาเศษขยะและริมสองฝั่งแม่น้ำ และอื่นๆ ทำให้การคมนาคม และขนส่งขยายตัวอย่างมาก และเกิดเป็นโอกาสในบริการขนส่งสินค้าและธุรกิจเรือสำราญ

ในช่วงหลายปีหลัง ฉงชิ่งใช้ประโยชน์จาก “ราตรีโคโนมี” ผ่านสายน้ำเหล่านี้อย่างคึกคัก อาคารสองฟากฝั่งสายน้ำต่างประดับประดาไปด้วยไฟฟ้าแสงสว่างที่ร้อยเรียงจนอดร้อง “ว้าว” ไม่ได้

ดังนั้น ท่านผู้อ่านที่มีโอกาสไปเยือนฉงชิ่งก็ห้ามพลาดโอกาส “ล่องเรือ” หลังอาหารค่ำชื่นชมฉงชิ่งในยามราตรีกันนะครับ ผมรับรองว่าเป็นเมืองริมแม่น้ำที่งดงามและอลังการที่สุดแห่งหนึ่งของจีนเลยทีเดียว 

แถมในช่วงหลังที่ฉงชิ่ง พยายามประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวในวงกว้าง รัฐบาลและเอกชนในเมือง ก็ออกมาสร้างสีสันด้วยการเอาโดรนออกมาแปรอักษร และภาพสวยงามบนท้องฟ้าในทุกค่ำคืนวันเสาร์

ด้วยสายน้ำที่ยาวเหยียดพาดผ่านเมือง และดินที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุ ก็ทำให้พื้นที่ในย่านนี้ชุ่มฉ่ำ และมีคุณภาพดีเหมาะสำหรับการทำเกษตรกรรม และเป็นประเด็นสำคัญที่รัฐบาลฉงชิ่งให้ความสำคัญยิ่งเพราะภาคการเกษตรเกี่ยวข้องกับราว 2 ใน 3 ของจำนวนประชากรโดยรวมของฉงชิ่ง

ไปคุยกันต่อตอนหน้าครับ ...

คอลัมน์มังกรกระพือปีก โดย...ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4151