KEY
POINTS
ประการที่ 2 การประกาศยุทธศาสตร์ “ประเทศแห่งวิศวกร” (Engineering Nation) จีนใช้เวลากว่า 20 ปีในการสร้างกำลังคนด้านวิศวกรรมศาสตร์ขนาดใหญ่ ทำให้จีนสามารถผลิตวิศวกรได้เป็นจำนวนนับล้านคนในแต่ละปีการศึกษา (Engineer-Oriented Education) ส่งผลให้จีนกลายเป็นประเทศที่มีวิศวกรมากที่สุดในโลก จนหลายคนเปรยว่า แม้กระทั่งผู้นำจีนในหลายระดับส่วนใหญ่ก็จบวิศวะด้วยกันทั้งนั้น
นอกจากในเชิงปริมาณ จีนยังสามารถผลิตวิศวกรในเชิงคุณภาพได้เป็นอย่างดี คนในวงการต่างยอมรับว่า วิศวกรจีนนับว่ามีประสิทธิภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จในการยกระดับอุตสาหกรรม เทคโนโลยี และนวัตกรรมของจีน
มหาวิทยาลัยชั้นนำของจีนหลายแห่งถูกวางบทบาทให้เป็น “ศูนย์ผลิตวิศวกรระดับชาติ” อาทิ มหาวิทยาลัยชิงฮวา (Tsinghua University) มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง (Zhejiang University) และมหาวิทยาลัยเจียวทงเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Jiao Tong University) และเปิดหลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์สาขาใหม่ๆ ขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากการออกแบบหลักสูตรที่เกี่ยวข้องแล้ว จีนยังพยายามกระตุ้นให้มีการปรับปรุงระบบการผลิตวิศวกรเชิงปฏิบัติการของมหาวิทยาลัย ตามโมเดล “MIT + Tsinghua” และบูรณาการความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย กับเครือข่ายที่เกี่ยวข้องมาร่วมมือกันสร้างวิศวกร ภายใต้โมเดล “การประสานมหาวิทยาลัย-อุตสาหกรรม-สถาบันวิจัย”
โดยมหาวิทยาลัยทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการวิจัย ขณะที่ บริษัทเอกชนทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มการทดลองตลาด และรัฐบาลสนับสนุนส่งเสริมด้านนโยบายและงบประมาณผ่านมาตรการต่างๆ
ด้วยแนวคิดดังกล่าว ทำให้มีผู้ประกอบการรุ่นใหม่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากในหลายหัวเมืองของจีน เช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เซินเจิ้น หางโจว ซูโจว และ หนานจิง ทั้งนี้ จีนดำเนินนโยบายนี้ใน 3 รูปแบบสำคัญ อันได้แก่
1) การให้บริษัทใหญ่ตั้ง “มหาวิทยาลัยในองค์กร” เช่น Huawei ICT Academy, BYD University และ Haier College of Intelligent Manufacturing รูปแบบนี้มีจุดเด่นที่การผลิตวิศวกรที่ตรงกับงานอย่างแท้จริง และยังเป็นการดึงเอา “นวัตกรของภาคเอกชน” ที่มีประสบการณ์มาเสริมกำลังในอีกทางหนึ่ง
2) การเปิดศูนย์วิจัยและพัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัย ตัวอย่างเช่น Huawei + Tsinghua, CATL + Xiamen University และ Xiaomi + Wuhan University รูปแบบนี้เป็นการบูรณาการภาคทฤษฎีและปฏิบัติ ให้เกิดเป็นรูปธรรมอย่างมีประสิทธิภาพและมีผลในเชิงพาณิชย์อย่างแท้จริง
3) การปั้นวิศวกรที่เข้าใจทั้งทฤษฎีและการพัฒนาเทคโนโลยีจริง ผ่านรูปแบบ “วิศวกรฝึกงานภาคสนาม” โดยมหาวิทยาลัยส่งนักศึกษาในชั้นปีที่ 2-3 เข้าฝึกงานและทำงานในโรงงานอัจฉริยะที่เกี่ยวข้อง ทำให้บัณฑิตที่ผลิตขึ้นมีทักษะฝีมือในระดับที่เหมาะสมทันทีหลังจบการศึกษา
ข้อมูลของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ระบุว่า ปัจจุบัน จีนมีวิศวกรคิดเป็นถึงราวครึ่งหนึ่งของโลก ขณะเดียวกัน ก็มีผู้เผยแพร่วิทยาศาสตร์ราว 2 ล้านคน และอาสาสมัครด้านวิทยาศาสตร์ฯ ที่ลงทะเบียนอีกราว 5 ล้านคน โดยในจำนวนนี้ มากกว่า 80% ทำงานนอกเวลา ด้วยการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรดังกล่าว จึงคาดว่าจีนจะมีจำนวนวิศวกร และนักวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้นอีกมากในอนาคต
ประการที่ 3 การปฏิรูปอาชีวะศึกษา (Vocational Education Reform) โดยที่การเป็นประเทศแห่งวิศวกรต้องมีทั้งวิศวกรด้านการออกแบบและพัฒนา และช่างเทคนิคคุณภาพสูง
ขณะเดียวกัน จีนก็ขาดแคลนแรงงานทักษะสูงเป็นจำนวนถึง 30-40 ล้านคน จีนจึงเดินหน้าปฏิรูปอาชีวะศึกษา โดยมีเป้าหมายหลักที่ต้องการเปลี่ยนระบบอาชีวะจาก “เส้นทางรอง” เป็น “ฐานกำลังคนระดับชาติ” เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์ และสนับสนุนการยกระดับการผลิตเป็น “ระบบการผลิตอัตโนมัติ”
ในปี 2022 จีนยังออกกฎหมายการอาชีวะศึกษาฉบับใหม่ ที่ยกระดับสถานะอาชีวะให้เทียบเท่าปริญญา โดยให้สิทธิผู้เรียนอาชีวะเข้าเรียนต่อระดับปริญญาตรีอาชีวะ (Vocational Bachelor) ให้อำนาจรัฐบาลสนับสนุนงบประมาณ และอนุญาตให้บริษัทเข้ามาร่วมออกแบบหลักสูตรได้โดยตรง โดยตั้งเป้าให้ 10% ของบัณฑิตที่จบปริญญาตรีเป็นสายอาชีวะภายในปี 2030
ในช่วงที่ผ่านมา จีนได้ลงทุนสร้าง “วิทยาลัยเทคนิคต้นแบบ” ในทุกมณฑล และยังรับเอา “Dual System” โมเดลของเยอรมนีมาปรับใช้ โดยจำแนกเป็นเรียน 50% ในสถาบันการศึกษา และฝึกงาน 50% ในโรงงาน และได้รับใบรับรองทักษะมาตรฐานสากล
ขณะเดียวกัน จีนยังสร้างระบบประกาศนียบัตรทักษะแห่งชาติ (National Technician Certificate) โดยจัดให้มีการประเมินและมอบใบรับรองแก่แรงงานตามระดับทักษะฝีมือ ตั้งแต่ช่างเทคนิค (Technician) ช่างเทคนิคอาวุโส (Senior Technician) และช่างเทคนิคผู้เชี่ยวชาญ (Master Technician)
นอกจากนี้ จีนยังสร้างการอาชีวะศึกษาอัจฉริยะ (Smart Vocational Education) เช่น ห้องปฏิบัติการจำลองดิจิตัล แพลตฟอร์มการฝึกอบรม AI และการทดสอบทักษะด้านดิจิตัล และการสร้างฐานการฝึกอบรมขนาดใหญ่ทั่วประเทศ อาทิ ฐานหุ่นยนต์ในมณฑลกวางตุ้งและเจ้อเจียง ฐาน NEV/EV ในฉงชิ่งและอันฮุย ฐานเซิมิคอนดักเตอร์ในเจ้อเจียงและเจียงซู
แนวทางดังกล่าวสอดรับกับการส่งเสริมการ Up-Skill, Re-skill และ New Skill ที่มีอยู่เดิมไปพร้อมกัน แรงงานจากอุตสาหกรรมเก่าเข้ารับการฝึกอบรมให้เข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่อย่างต่อเนื่อง เช่น พลังงานใหม่ และ การผลิตอัจฉริยะ นั่นเท่ากับว่า จีนพยายามยกระดับวิทยะฐานะให้เข้มแข็ง และการยอมรับให้อาชีวะศึกษาเป็นเสาหลักของการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง
อีกหนึ่งในความน่าสนใจก็คือ การส่งเสริมดังกล่าวยังเป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านการพัฒนาฝีมือแรงงานของภาครัฐ กับบริษัทเอกชน ที่มีความต้องการแรงงานในอนาคต โดยบริษัทออกแบบหลักสูตรร่วมกับสถาบันการศึกษา ใช้เครื่องจักรจริงในการเรียนการสอน ส่งวิศวกรของบริษัทไปเป็นครูพิเศษ และรับนักศึกษาฝึกงานและรับเข้าทำงานโดยตรง ทำให้สามารถยกระดับทักษะฝีมือ นำไปสู่การจ้างแรงงานใหม่ ลดความสูญเปล่าและค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมไปพร้อมกัน
โครงการในหลักลักษณะดังกล่าว ยังครอบคลุมไปถึงการพัฒนาครูอาชีวะ เพื่อให้ครูอาชีวะสามารถสอนการใช้เครื่องจักร เครื่องมือรุ่นใหม่ได้อย่างแท้จริง ข้อมูลยังระบุว่า มีบริษัทชั้นนำของจีนจำนวนมากเข้าร่วมโครงการดังกล่าว อาทิ Huawei, BYD, CATL, Sany, Midea และ Foxconn
ขณะเดียวกัน จีนยังขยายการลงทุนในระบบนิเวศที่เกี่ยวข้อง อาทิ ห้องทดลองหุ่นยนต์ ระบบการผลิตอัตโนมัติ และ รถยนต์พลังงานไฟฟ้า และพยายามปรับปรุงสถาบันการศึกษาด้านอาชีวะให้ทันสมัยระดับโลก
คุยต่อตอนหน้าครับ ...
คอลัมน์มังกรกระพือปีก โดย...ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4159