KEY
POINTS
ภายหลังคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในการประชุมเมื่อเดือนตุลาคม 2025 ได้พิจารณาให้คำแนะนำเกี่ยวกับร่างแผนพัฒนา 5 ปี ฉบับที่ 15 (2026-2030) ก่อนจะนำเสนอต่อที่ประชุมสองสภา “เหลี่ยงฮุ่ย” ให้ความเห็นชอบในเดือนมีนาคม 2026 และส่งต่อให้รัฐบาลจีนนำไปดำเนินการต่อไป ก็นำไปสู่คำถามสำคัญตามมาว่า แล้วจีนจะต้องพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับนโยบายใหม่ดังกล่าวให้ทันท่วงทีได้อย่างไร? ...
หนึ่งในสาระสำคัญที่ซ่อนอยู่ในแผนฯ 15 ก็ได้แก่ การอัพเกรดภาคการผลิตให้มีความทันสมัยโดยจะสานต่อจากนโยบาย “Made in China 2025” ที่ดำเนินมา 10 ปีด้วยนโยบาย “New Quality Productive Forces” (กำลังการผลิตคุณภาพสูงใหม่) ที่ สี จิ้นผิง ผู้นำจีนเปิดตัวครั้งแรกเมื่อราวกลางปี 2023
NQPFs หมายถึงปัจจัยการผลิตขั้นสูงที่เป็นอิสระจากโหมดการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเส้นทางการพัฒนาผลผลิตแบบดั้งเดิม NQPFs ประกอบด้วย “3 สูง” อันได้แก่ เทคโนโลยีสูง ประสิทธิภาพสูง และ คุณภาพสูง
โดยที่เป็นปัจจัยการผลิตขั้นสูงที่จําเป็นสําหรับปรัชญาการพัฒนาใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หุ่นยนต์ สายการผลิตอัจฉริยะ ปัญญาประดิษฐ์ เซมิคอนดักเตอร์ ควอนตัม บล็อกเชน พลังงานใหม่ ไบโอเทค และ อวกาศ ที่ผ่านมา NQPFs ได้แสดงแนวโน้มของบทบาทและการพัฒนาที่รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยในปี 2024 การลงทุนในอุตสาหกรรมไฮเทคของจีน เพิ่มขึ้นราว 10% เมื่อเทียบกับของปีก่อน เติบโตเร็วกว่าของอุตสาหกรรมอื่นในช่วงเวลาเดียวกัน
นอกจากนี้ NQPFs ยังมีลักษณะพิเศษและเป็นปัจจัยการผลิตสำคัญ ที่สามารถแทรกตัวเข้าไปยกระดับทุกสาขาเศรษฐกิจไปพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และ บริการ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงในวงกว้าง ก็หมายถึงการเติบใหญ่ทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดดในอนาคต
อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือ NQPFs นับเป็นปัจจัยการผลิตที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในการปฏิวัติอุตสาหกรรมโลก 3 ครั้งที่ผ่านมา ซึ่งนั่นเท่ากับว่า จีนและประเทศพัฒนาแล้วที่นำเอา NQPFS ไปใช้ประโยชน์กำลังนำพาโลกเข้าสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4
ในกรณีของจีน เราได้เห็นบทบาทของนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เติบโตอย่างโดดเด่น ยกตัวอย่างเช่น จำนวนสิทธิบัตรนวัตกรรมในจีนทะยานขึ้นแตะระดับ 5 ล้านชิ้นในปัจจุบัน โดยเกือบ 75% ของสิทธิบัตรเป็นขององค์กร
ขณะเดียวกัน โดยอาศัยระบบห่วงโซ่อุปทานและอุตสาหกรรมที่เพียบพร้อมและมีประสิทธิภาพ จีนนับว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงใน “นวัตกรรมเชิงพาณิชย์” ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา จีนสามารถเปลี่ยนผลงานวิจัยเป็นผลิตภัณฑ์และส่งเข้าสู่ท้องตลาดได้รวดเร็วขึ้นในอัตราเร่ง
สิ่งนี้มีความสำคัญยิ่งต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เพราะธุรกรรมการผลิตและการค้าช่วยเร่งวงจรนวัตกรรม เปลี่ยนอุตสาหกรรมดั้งเดิมไปสู่อุตสาหกรรมและโมเดลธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพ และนำจีนไปสู่ความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศที่สูงขึ้น
สาธยายเรื่อง NQPFs และนวัตกรรมเชิงพาณิชย์ของจีนมาซะยืดยาว ก็นำไปสู่ประเด็นหลักของบทความนี้ที่ว่า แล้วจีน “สร้างคน” อย่างไรเพื่อให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ...
ประการแรก การปฏิรูประบบการศึกษา ตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงระดับมหาวิทยาลัย ท่านผู้อ่านอาจเคยได้รับทราบมาแล้งบ้างว่า จีนเริ่มทดลองเปิดโรงเรียนอนุบาล “สายวิทย์” ในด้านตอนเหนือของกรุงปักกิ่ง และจัดวิชาที่เกี่ยวข้องกับ STEM และ AI ตั้งแต่ระดับประถมศึกษามาเป็นเวลาหลายปีแล้ว และมีระบบการคัดเลือกคนเก่งเข้าสาย STEM ตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษา โดยค้นหาเด็กเก่งด้าน STEM ผ่านโอลิมปิกวิชาการ ห้องทดลองนวัตกรรม และ โรงเรียนพิเศษด้านวิทยาศาสตร์
นอกจากนี้ โรงเรียนในจีนจำนวนมากยังเพิ่มวิชาหุ่นยนต์ โคดดิ้ง และการคิดเชิงคำนวณเข้าไปในหลักสูตรอย่างเข้มข้น แถมหลายแห่งในหลายมณฑล ยังนำร่องด้วยการสอนวิชา AI และหุ่นยนต์แบบภาคปฏิบัติ
ครั้งหนึ่งผมเคยมีโอกาสไปสังเกตการณ์การสอนวิชาหุ่นยนต์แก่เด็กนักเรียนในระดับประถมศึกษา ที่คุณครูหิ้วเอาหุ่นยนต์ขนาดความสูงใกล้เคียงกับนักเรียนเข้าไปด้วย พร้อมกับโชว์คุณสมบัติบางประการของหุ่นยนต์ให้นักเรียนชม ซึ่งเรียกเสียงฮือฮาได้เป็นระยะ
หลังจากนั้น คุณครูก็ให้โจทย์ว่า ให้นักเรียนใช้เวลาในช่วงครึ่งแรกของการเรียนการสอน ช่วยกันถอดชิ้นส่วนหลักของหุ่นยนต์กัน ผลปรากฏว่า เด็กนักเรียนทำได้ดีมาก เพราะใช้เวลาไม่นานก็สามารถถอดหุ่นยนต์ออกเป็นชิ้นๆ ราวกับตุ๊กตาของเด็กเล่นในวัยเด็ก
ภายหลังการชื่นชมในความสำเร็จในขั้นแรกแล้ว คุณครูก็ให้โจทย์ที่ท้าทายยิ่งว่า ให้นักเรียนใช้เวลาในช่วงครึ่งหลังในการประกอบหุ่นยนต์กลับเข้าที่เดิม เท่านั้นเอง ก็เกิด “ความตกตะลึกทางเทคโนโลยี” (Technological Shock) เพราะนักเรียนจำไม่ได้ว่าสายไฟฟ้า และชิ้นส่วนที่ถูกถอดออกมานั้น ควรอยู่ที่ใด แต่ก็ทำให้เด็กนักเรียนใช้เวลาสั้นๆ ในการตระหนักรู้และใส่ใจในกลไกต่างๆ ของหุ่นยนต์
ในระดับปริญญา จีนก็ปรับปรุงหลักสูตรที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง ทำให้จีนกลายเป็นประเทศที่ผลิตปริญญาทางด้านเทคนิคที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก ไล่ตั้งแต่การเปิดสาขาใหม่ อาทิ วิศวกรรมยานยนต์ไฟฟ้า วิศวกรรมเซมิคอนดักเตอร์ วิทยาศาสตร์ควอนตัม และ พลังงานไฮโดรเจน
นอกจากนี้ จีนยังเดินหน้าปฏิวัติด้านบุคลากรครั้งใหญ่ ที่ครอบคลุมทั้งระบบการศึกษา การวิจัย อุตสาหกรรม และทักษะฝีมือแรงงาน โดยมีเป้าหมายในการผลิตคนที่มีความสามารถในการคิด สร้างสรรค์ และ ประดิษฐ์ในเทคโนโลยีล้ำสมัยได้
โดยในเชิงคุณภาพ รัฐบาล และ มหาวิทยาลัยให้ความสำคัญกับการอัพเดตตลาดแรงงาน และจัดอันดับหลักสูตรและการเรียนการสอนเป็นประจำทุกปี และเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของจีน
ในทางปฎิบัติ จีนประยุกต์ใช้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่จาก “บิ๊กดาต้า” ด้านแรงงาน และ AI ในการคาดการณ์ความต้องการและบริหาร “ตลาดแรงงานใหม่” อย่างเป็นระบบ โดยดึงข้อมูลตลาดแรงงานแบบเรียลไทม์ เศรษฐกิจระดับมหภาค ภาคการศึกษา และอื่นๆ ที่ครอบคลุมตั้งแต่ระดับชาติ มณฑล ไปจนถึงเมืองและอุตสาหกรรม
ขณะเดียวกัน ก็ใช้ AI ในการวิเคราะห์แนวโน้มแรงงานและออกแบบนโยบายผลิตคนแบบ “อุปสงค์นำอุปทาน” อาทิ การคาดการณ์ความต้องการแรงงานรายอุตสาหกรรมล่วงหน้า 3-5 ปี หรือในสาขาที่กำลัง “มาแรง” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักพัฒนา AI ผู้เชี่ยวชาญด้านบิ๊กดาต้า วิศวกรหุ่นยนต์ และช่างทักษะสูง อาทิ ช่างฝีมือติดตั้งและประจำสถานีชาร์จ EV
คุยกันต่อตอนหน้าครับ ...
คอลัมน์มังกรกระพือปีก โดย...ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4158