KEY
POINTS
ในด้านประชากรศาสตร์ ปัจจุบัน นครฉงชิ่ง มีประชากรราว 33 ล้านคน โดยถือเป็นเมืองที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก!!! มากกว่าปักกิ่งราว 1.5 เท่า หรือเกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรไทย
อย่างไรก็ดี ด้วยขนาดพื้นที่ของฉงชิ่งที่ใหญ่ และบริเวณใจกลางเมืองที่เป็นเนินเขาสูง ฉงชิ่งก็นับได้ว่า เป็นเมืองที่มีระดับความเป็นชุมชนเมืองที่น้อยเมื่อเทียบกับมหานครอื่นของจีน ผู้คนราว 2 ใน 3 ของจำนวนประชากรโดยรวมของฉงชิ่ง ประกอบอาชีพเกษตรกรรมในบริเวณรอบนอกของเมือง
ในด้านสภาพอากาศก็นับว่ามีเสน่ห์อย่างมาก ฉงชิ่งมีหลากฤดู แม้ว่าอุณหภูมิเฉลี่ยจะอยู่ระหว่าง 24-25 องศาเซลเซียส แต่สภาพอากาศในแต่ละฤดูกลับแตกต่างกันมาก
ฤดูหนาวก็หนาวจัด บางคนจะบ่นว่า “หนาวเข้ากระดูก” เลยทีเดียว และพออุณหภูมิสูงขึ้นหน่อย แม่น้ำ 2 สายหลักดังกล่าว ก็ปล่อยหมอกควันทั่วไปหมด ทำให้เมืองนี้มีสภาพอากาศที่ขะมุกขะมัว จนคนทั่วไปนิยมเรียกขานฉงชิ่งในอีกนามหนึ่งว่า “เมืองในหมอก” (City of Fog)
ในด้านหนึ่ง หมอกก็ทำให้แดดไม่แรงมาก ผิวพรรณของผู้คนที่นี่จึงดูขาวใสเปล่งปลั่ง ทำให้ฉงชิ่งเป็นเมืองหนึ่งที่มีสาวงามมากที่สุดในโลก
ขณะเดียวกัน ประวัติศาสตร์ก็บันทึกไว้ว่า ความเป็นเมืองในหมอกทำให้ฉงชิ่งรอดจากการถล่มของกองทัพญี่ปุ่นในอดีตได้ เพราะนักบินญี่ปุ่นไม่สามารถมองเห็นเป้าหมายที่จะถล่มได้ชัดเจน ต้องรอจนหน้าร้อน ซึ่งทำให้ฝ่ายจีนมีโอกาสเตรียมตัวได้ดีขึ้น
แต่ในอีกด้านหนึ่ง หมอกที่หนาจัด ก็อาจทำให้ท่านผู้อ่านอาจต้องเผชิญปัญหาการเดินทางเข้าออก และการขึ้นลงของเครื่องบินพาณิชย์ แม้กระทั่งช่วงเวลากลางวัน ทัศนวิสัยในช่วงกลางวันอาจค่อนข้างจำกัด ขับรถยังต้องเปิดไฟหน้ารถ สภาพอากาศเช่นนี้ยังอาจทำให้คนที่ไม่คุ้นชินรู้สึกหดหู่ใจได้
โดยฉงชิ่งเป็นเมืองที่มีความชื้นสูงและมีสภาพเป็น “แอ่งกระทะ” ฤดูร้อน จึงร้อนอบอ้าวเหมือนบ้านเราเลยทีเดียว โดยในช่วงกลางวัน อุณหภูมิภายในเมืองอาจสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส และมีความชื้นสูง ทำให้รู้สึกเหนอะหนะไม่สบายตัว ผมจึงขอแนะนำไม่ให้เดินทางไปท่องเที่ยวฉงชิ่ง ในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม
ในด้านโครงสร้างพื้นฐาน อาจกล่าวได้ว่า ฉงชิ่งมีโครงข่ายถนนยกระดับที่สลับซับซ้อนที่สุดแห่งหนึ่งในโลก มีถนนบนหลังคาตึก และลัดเลาะไปตามอุโมงค์ลึก และริมหน้าผา จนบางคนเรียกฉงชิ่งว่าเป็น “ฮ่องกงน้อย” ความสลับซับซ้อนดังกล่าวยังทำเอาระบบนำทางสับสนเลยก็มี
แน่นอนว่า ฉงชิ่งมี “สะพาน” ขนาดใหญ่ข้ามแม่น้ำมากมาย จากสถิติระบุว่า ฉงชิ่งมีสะพานที่มีขนาดและรูปแบบแตกต่างกันรวมกว่า 20,000 แห่ง ในจำนวนนี้ มากกว่า 10% เป็นสะพานในตัวเมือง ส่งผลให้ราว 60% ของคนฉงชิ่ง ต้องข้ามสะพานมากกว่า 2 แห่งในแต่ละวัน จนหลายคนขนานนามฉงชิ่งว่าเป็น “เมืองแห่งสะพาน”
ผมเชื่อว่า หากท่านผู้อ่านแวะเวียนไปเที่ยวฉงชิ่ง ก็จะรู้สึกว่าต้องนั่งรถข้ามแม่น้ำไปมาหลายครั้งจนงง โชคดีที่สะพานเหล่านี้มีการออกแบบและตกแต่งประดับประดาไว้เป็นอย่างดี จึงอาจช่วยให้เราเพลิดเพลินไปได้มาก
ด้วยจำนวนประชากรและยุทธภูมิที่ดีในด้านซีกตะวันตกของจีน ฉงชิ่งจึงอยู่ระหว่างการยกระดับสถานีรถไฟฉงชิ่งตะวันออกเป็น “ศูนย์กลางการขนส่งแบบบูรณาการ” คล้ายกับของ “หงเฉียว” ของมหานครเซี่ยงไฮ้
ศูนย์กลางฯ ดังกล่าวจะมีขนาดใหญ่เทียบเท่า 170 สนามฟุตบอลมาตรฐาน น่าจะครองตำแหน่งแชมป์สถานีรถไฟความเร็วสูงที่ใหญ่ที่สุดในโลกไปอีกนาน โดยสามารถรองรับผู้โดยสารสูงสุดได้ถึง 16,000 คนต่อชั่วโมง และคาดว่าจะเปิดให้บริการในสิ้นปี 2025 พร้อมกับเส้นทางรถไฟความเร็วสูงฉงชิ่ง-หูหนาน ทำให้สามารถเชื่อมกับหัวเมืองรายรอบในรัศมี 1-3-6 ชั่วโมง ซึ่งครอบคลุมผู้คนนับพันล้านคนที่สามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวกสบาย
นอกจากความเป็นศูนย์กลางด้านการคมนาคมแล้ว สถานีรถไฟฉงชิ่งดังกล่าวยังจะเป็น “ต้นแบบ” ของนวัตกรรม และความยั่งยืนที่สร้างตามมาตรฐานฉลากอาคารสีเขียวสูงสุด ซึ่งคาดว่าจะประหยัดไฟฟ้าได้ 6.18 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี และลดการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 8,000 ตัน ผ่านการจัดการระบบน้ำ ทางเดินสีเขียว บริการการเดินทางอัจฉริยะ และแพลตฟอร์มดิจิตัลที่ครอบคลุม
นอกจากความใหญ่ของสถานีรถไฟความเร็วสูงดังกล่าว ภายในตัวเมืองฉงชิ่ง ยังมีชื่อเสียงในเรื่องการมีระบบขนส่งมวลชนทางราง “รถไฟวิ่งทะลุตึก” ระหว่างชั้น 6-8 ของอาคารที่สถานี “หลีจื่อป้า” (Liziba)
โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างกิจการรถไฟใต้ดินและอสังหาริมทรัพย์ ที่กำหนดให้เป็นจุดรับส่งผู้โดยสาร ซึ่งระดับเสียงจะลดลงขณะเข้าออกชานชะลา ควบคู่ไปกับการพัฒนาเทคโนโลยีระบบลดแรงสั่นสะเทือน และป้องกันเสียงรบกวนแก่ผู้อยู่อาศัย โดยขบวนรถไฟสายนี้มีการสร้างและออกแบบ ให้สามารถลดเสียงการทำงานได้ต่ำเฉลี่ยเพียง 75.8 เดซิเบล เรียกว่าอยู่ในระดับความดังของ “เครื่องซักผ้า” เท่านั้น
สำหรับคนที่ไม่อยากเหนื่อยเดินขึ้นไปยล “รถไฟทะลุตึก” ด้วยตาตัวเองอย่างใกล้ชิด แต่อยากได้ภาพถ่ายขณะรถไฟวิ่งทะลุตึก ก็ไม่ต้องกังวลเพราะย่านนั้นมีช่างถ่ายภาพมืออาชีพ ที่พร้อมจะถ่ายภาพและเติมรถไฟเป็นพื้นหลังให้ท่านได้อย่างเนียนตา ในสนนราคา 20-100 หยวน ขึ้นอยู่กับจำนวนภาพที่ต้องการและความสามารถในการต่อรองราคา
อีกสถานีหนึ่งที่มีชื่อเสียงก็ได้แก่ สถานีรถไฟใต้ดิน “หงเหยียนชุน” (Hongyancun) ที่ลึกที่สุดในโลก โดยมีความลึกเกือบ 120 เมตร เท่ากับอาคารสูง 39 ชั้น เฉพาะใช้เวลาเดินทางผ่านกว่า 10 ท่อนบันไดเลื่อนที่ทอดยาวไปถึงจุดขึ้นรถก็ต้องใช้เวลาเกือบ 15 นาที ซึ่งสะท้อนความสามารถด้านวิศวกรรมการก่อสร้างของจีน ที่มีอยู่สูงมากในยุคหลัง จนกลาย “จุดท่องเที่ยว” ยอดนิยมของเมืองไปเลย
มหานครแห่งนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย ที่ไม่ควรพลาดก็ได้แก่ “หงหยาต้ง” (Hongyadong) อาคารสถาปัตยกรรมจีนโบราณแบบยกใต้ถุนสูงในลักษณะ “บ้านเสาไม้” ริมแม่น้ำเจียหลิง โดยเฉพาะในเวลากลางคืนที่เปิดไฟประดับประดาสว่างไสวอย่างสวยงามตระการตา
จากคำบอกเล่า แต่เดิมหงหยาต้งเป็นถ้ำขนาดเล็ก แต่ต่อมามีโครงการพัฒนา “ต่อยอด” เป็นแหล่งรวมของร้านค้า ร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร และโรงแรมที่มีความสูง 11 ชั้น ทั้งนี้ แต่ละชั้นไม่สูงมากนัก และระหว่างทางก็มีจุดถ่ายภาพที่น่าสนใจมากมาย ท่านสามารถเดินออกกำลังกายจากชั้นล่างขึ้นไปชั้นบนได้อย่างสบายๆ ชื่นชมบรรยากาศ ผมสังเกตเห็นบางคนขึ้นถึงชั้นบนแล้วยังเดินต่อไปที่สะพานข้ามแม่น้ำเพื่อชมวิวที่แปลกตาและเก็นภาพถ่ายเป็นที่ระลึกอีกด้วย
ท่านที่ชอบชมเมืองเก่าก็ต้องแวะไปถนนโบราณ “ฉือชี่โคว่” (Ci Qi Kou) เป็นหมู่บ้านอนุรักษ์ทางวัฒนธรรม ที่จะพาท่านย้อนประวัติศาสตร์ของจีนได้อีกกว่า 1,700 ปี ท่านที่ชอบดูข้าวของกระจุกกระจิก อาทิ ถ้วยชามและของใช้เซรามิค ก็อาจมาหาส่องกันในย่านนี้ เพราะที่นี่เป็นหมู่บ้านปั้นเซรามิคที่เคยโด่งดังในสมัยราชวงศ์หมิง
แต่สำหรับผมแล้ว ในช่วง 20 ปีหลัง ย่านนี้ “เปลี่ยนไปมาก” และอาจถูกจริตกับคนที่ชอบ “ช๊อป ชิม แชร์” เพราะย่านนี้เป็นสถาปัตยกรรมโบราณ และเป็นแหล่งรวมขนมและของขวัญของที่ระลึก ขณะที่สำหรับนักชิม ท่านอาจลิ้มลองอาหารพื้นเมืองและขนมโบราณที่ละลานตา และถ้าอยากฆ่าเวลา ท่านก็อาจเดินต่อเลาะริมแม่น้ำเจียหลิง ใต้ร่มเงาของต้นไม้ที่ปลูกไว้ยาวหลายกิโล ตลอดทางท่านผู้อ่านจะเห็นร้านรวงและการดำเนินชีวิตของชาวฉงชิ่ง ที่ผสมผสานวิถีตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกันอย่างน่าแปลกใจ
มีสถานที่ท่องเที่ยวไหนอีกที่น่าสนใจ อ่านต่อตอนหน้าครับ ...