KEY
POINTS
เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ผมมีโอกาสพูดคุยกับนักเศรษฐศาสตร์จีนเกี่ยวกับการเยือนเมืองเซินเจิ้น (Shenzhen) ศูนย์กลางของกลุ่มเมือง Greater Bay Area (GBA) บริเวณ “ท้องไก่” ของจีน หลังจากนั้น ผมก็ได้รับการเชื้อเชิญให้ไปเยี่ยมชมบริษัทหนึ่งที่เศรษฐกรหนุ่มร่วมทุนอยู่ด้วยในเขตเหิงฉิน (Hengqin)
แต่ผมมาสะกิดใจกับประโยคที่ว่า “ไม่รู้จะบอกว่า เขตเหิงฉินในเมืองจูไห่ (Zhuhai) หรือ มาเก๊า (Macao) ดี” ผมก็เลยสงสัยว่า ทำไมเขาถึงกล่าวเช่นนั้น ก็ได้รับคำตอบว่า เมื่อเร็วๆ นี้ รัฐบาลจีนได้เห็นชอบกับการยกพื้นที่ของเขตเหิงฉิน ไปให้มาเก๊าปกครองดูแล ทำให้ผมเกิดคำถามว่าทำไมจีนทำเช่นนั้น
วันนี้ ผมจะพาท่านผู้อ่านไปค้นหาข้อเท็จจริงกัน และขยายต่อไปถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการดำเนินการดังกล่าวของจีน ...
ท่านผู้อ่านที่มีโอกาสเดินทางไปเยือนมาเก๊า คงทราบว่าดีว่า มาเก๊า เป็นเขตปกครองตนเองบนชายฝั่งทางใต้ของจีน ภายหลังตกเป็น “อาณานิคม” ของโปรตุเกสนับแต่ปี 1887 (เป็นเวลายาวนานกว่า 110 ปี) จีนได้รับคืนมาเก๊าจากโปรตุเกส เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 1999 โดยให้มีสถานะเป็น “เขตบริหารพิเศษ” ของจีน
ในยุคหลังโควิด เศรษฐกิจของมาเก๊าซึ่งเป็นเศรษฐกิจแบบเปิดขนาดเล็ก เริ่มฟื้นตัวและขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพ ทั้งนี้ ในปี 2025 จีดีพีของมาเก๊าคาดว่าจะมีขนาดกว่า 76,300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นราว 10% ของเศรษฐกิจไทย
ในภาพรวม เศรษฐกิจและสังคมของมาเก๊า มีอัตลักษณ์เฉพาะที่ผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมตะวันออก-ตะวันตก และขับเคลื่อนด้วยธุรกิจเอนเทอเทนเมนต์คอมเพล็กซ์ (Entertainment Complex) ที่มีรายได้หลักมาจากการท่องเที่ยวและบันเทิง
เวลาเดินทางไปเยือนมาเก๊า เราจึงพบเห็นแหล่งช้อปปิ้งผ่านห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่และกาสิโนที่สว่างไสว “ไม่รู้จักหลับไหล” กระจายตัวอยู่ทั่วใจกลางเมือง ทำให้มาเก๊าได้รับการขนานนามว่าเป็น “ลาสเวกัสแห่งเอเซีย” ที่ธุรกิจนี้สร้างรายได้ภาครัฐคิดเป็นถึง 80% ของรายได้โดยรวมของมาเก๊า
ก่อนได้รับมอบเขตเหิงฉินมาปกครองมาเก๊า “เมืองแห่งความฝัน” มีพื้นที่เพียง 33.3 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรราว 700,000 คน สิ่งนี้ทำให้มาเก๊ามีพื้นที่ในการบริหารงานที่จำกัด ทำให้มีความหนาแน่นของจำนวนประชากรต่อพื้นที่ค่อนข้างสูง โดยมีระดับความหนาแน่น อยู่ที่ราว 20,600 คน ต่อตารางกิโลเมตร เทียบกับเพียง 130 คนต่อตารางกิโลเมตรของไทย
สภาพการณ์ดังกล่าว ทำให้ที่อยู่อาศัยและอาคารเชิงพาณิชย์ในมาเก๊า มีราคาที่สูงมาก ส่งผลให้มีค่าครองชีพสูงตามไปด้วย และกระทบต่อการดำรงชีวิต และการประกอบธุรกิจในพื้นที่ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
เพื่อให้ “มาเก๊าใหม่” มีโครงสร้างเศรษฐกิจที่เหมาะสมและมีขนาดใหญ่มากพอ ไม่เล็กจนเกินไปเมื่อเทียบกับหัวเมืองอื่นในบริเวณใกล้เคียง และเป็นหัวเมืองหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญ
สอดคล้องกับการพัฒนากลุ่มเมือง GBA รัฐบาลมาเก๊าก็พยายามทุ่มเทกับหลายแนวทาง และลองผิดลองถูกมาอยู่นานก่อนหน้านี้
อันที่จริง ทุกครั้งที่มีโอกาสเดินทางไปมาเก๊า และพื้นที่ใกล้เคียง เรามักสังเกตเห็นการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการขนส่ง สื่อสาร และอื่นๆ มาอย่างต่อเนื่อง
ที่เป็นข่าวใหญ่สุดก็เห็นจะได้แก่ การก่อสร้างสะพานข้ามทะเลฮ่องกง-จูไห่-มาเก๊า ที่มีความยาวถึง 55 กิโลเมตร ซึ่งถือเป็นสะพานข้ามทะเลที่ยาวที่สุดในโลกในปัจจุบัน
ภายหลังเปิดให้บริการเมื่อเดือนตุลาคม 2018 และผ่อนคลายกฎระเบียบด้านการตรวจคนเข้าเมือง ศุลกากร และการใช้พาหนะมาโดยลำดับ สะพานดังกล่าวช่วยลดระยะเวลาการเดินทาง และสร้างความมีชีวิตชีวาด้านการค้า การท่องเที่ยว โลจิสติกส์ และ การลงทุนในพื้นที่ได้เป็นอย่างมาก
ยกตัวอย่างเช่น การโยกย้ายของผู้คนในมาเก๊าที่หนีความแออัดและขยับขยายไปอาศัย ศึกษาต่อ และ ทำงานอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขตเหิงฉินที่มีขนาด 106 ตารางกิโลเมตร และอยู่ห่างจากมาเก๊าไปด้านซีกตะวันตกเฉียงใต้เพียง 12 กิโลเมตร
แต่เดิมเหิงฉินมีสภาพเป็นเกาะขนาดเล็กเพียง 6-7 ตารางกิโลเมตร ส่วนใหญ่มีสภาพเป็นพื้นที่ด้านการเกษตร ป่าเขา และ ลุ่มน้ำ ในระหว่างปี 1999-2005 รัฐบาลเริ่มโครงการปรับภูมิทัศน์ และถมทะเลบางส่วน และเตรียมพื้นที่สำหรับการก่อสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน
ต่อมาในระยะที่ 2 (ปี 2005-2009) จีนเดินหน้าขยายพื้นที่เกาะอย่างจริงจัง และลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ ถนน ท่าเรือ และสาธารณูปโภคอื่นตามมา
ในการพัฒนาระยะที่ 3 (ปี 2009-2015) ถือเป็นช่วงของการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ โดยรัฐบาลจีนได้กำหนดให้เขตเหิงฉินเป็น “เขตใหม่” ระดับชาติ และเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการเชื่อมจูไห่ มาเก๊า และฮ่องกงนับแต่ปี 2009 พื้นที่ถูกขยายขึ้นอีกหลายเท่าตัวด้วยการถมทะเล ตามด้วยงานก่อสร้าง CBD แหล่งวิจัย และอุตสาหกรรมเทคโนโลยี รวมทั้งมหาวิทยาลัยมาเก๊าแห่งใหม่ในพื้นที่
ในระหว่างปี 2015-ปัจจุบัน เหิงฉินยังคงขยายพื้นที่ต่อเนื่องตามแผนพัฒนา GBA ส่งผลให้มีพื้นที่เพิ่มขึ้นถึง 15 เท่าจากพื้นที่ดั้งเดิม และถือเป็นหนึ่งในโครงการถมทะเลขนาดใหญ่ที่สุดของมณฑลกวางตุ้ง
นอกจากนี้ ในเชิงนโยบาย รัฐบาลจีนก็มี “จุดยืน” ที่ชัดเจนว่าไม่ต้องการให้ “กาสิโน” เป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจหลักของมาเก๊าอีกต่อไปเพื่อสนับสนุนการต่อต้านและปราบปรามการทุจริต จึงพยายาม “ลดบทบาท” ของความเป็นลาสเวกัสแห่งเอเซียมาโดยลำดับ แต่ “รากเหง้า” ที่ผูกติดมาเป็นเวลานานหลายทศวรรษ ก็ทำให้ความมุ่งหมายดังกล่าวมิได้เกิดขึ้นง่ายๆ
เพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคและพัฒนามาเก๊าสู่ยุคใหม่ ในเดือนกันยายน 2018 จีนได้ริเริ่มแนวคิดในการจัดตั้ง “เขตความร่วมมือเชิงลึกกวางตุ้ง-มาเก๊า (Guangdong-Macao In-Depth Cooperation Zone) และมีความชัดเจนโดยลำดับ และประกาศ “เขตความร่วมมือ” ดังกล่าวในราว 3 ปีต่อมา
ข้อมูลระบุว่า คนมาเก๊าตอบรับนโยบายดังกล่าว โดยทยอยโยกย้ายถิ่นฐานไปอาศัยในเขตเหิงฉิน ถึงราว 20,000 คน และมีคนไปทำงานในเขตเหิงฉินมากกว่า 5,000 คน รวมทั้งจัดตั้งกิจการในพื้นที่มากกว่า 6,000 ราย ในหลายปีต่อมา
จนกระทั่งวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2025 ถือเป็น “D-Day” เมื่อรัฐบาลจีนได้ประกาศให้เขตเหิงฉิน อยู่ในขอบข่ายการปกครองร่วมระหว่างมณฑลกวางตุ้ง และ มาเก๊า หรืออาจกล่าวได้ว่า จีนได้แบ่งปันสิทธิ์ในการปกครองเขตเหิงฉิน ให้ มาเก๊า ไปร่วมบริหารงานด้วย
ขณะเดียวกัน ก็มีการจัดตั้งคณะทำงานในหลายส่วน เพื่อทำหน้าที่ปรับปรุงขีดความสามารถ และประสิทธิภาพการบริหารงานภาครัฐในระดับมหภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประสานงานปฏิรูปการบริหารงาน กลุ่มประสานงานด้านกฎหมาย และ กลุ่มคณะทำงานปรับปรุงภูมิทัศน์และสุขาภิบาลเมือง
มาเก๊าวางเป้าหมายให้เครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่มีบทบาทอะไร อย่างไร คุยกันต่อตอนหน้าครับ ...
คอลัมน์มังกรกระพือปีก โดย...ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4156