เศรษฐกิจอิหร่านบนขอบเหว ราคาแพงที่ต้องจ่ายจากสงคราม 2 ทศวรรษ

24 มิ.ย. 2568 | 01:29 น.
อัปเดตล่าสุด :24 มิ.ย. 2568 | 01:37 น.

วิเคราะห์เศรษฐกิจอิหร่านที่ล่มสลาย เงินเฟ้อ 40% ว่างงาน 50% การส่งออกน้ำมันดิ่ง 90% หลังสงครามและคว่ำบาตร 2 ทศวรรษ ผลกระทบต่อตลาดพลังงานโลก

KEY

POINTS

  • บทเรียนราคาแพง 2 ทศวรรษ จากยักษ์น้ำมันสู่ชาติป่วย อิหร่านกำลังเผชิญภาวะเงินเฟ้อทะลุ 40% ค่าเงินเรียลร่วงหนัก ประชากรจำนวนมากตกงานและอยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจน ขณะเกันยังต้องเผชิญกับการขาดแคลนพลังงานและน้ำอย่างรุนแรง ทั้งที่เป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมัน
  • โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของอิหร่านถูกโจมตีซ้ำซากจากอิสราเอล ส่งผลต่อการส่งออกน้ำมันและก๊าซอย่างหนัก แม้จีนยังซื้อ แต่รายได้จากการส่งออกลดลงมาก ขณะเดียวกันการคว่ำบาตรจากตะวันตกตลอดหลายทศวรรษได้ตัดโอกาสการพัฒนาและลงทุนระยะยาว
  • ปัญหาเงินเฟ้อเรื้อรัง ความล้มเหลวของระบบเงินอุดหนุน การพึ่งพาน้ำมันโดยขาดการพัฒนาอุตสาหกรรมที่แข่งขันได้ และการขาดการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ทำให้เศรษฐกิจอิหร่านไม่สามารถฟื้นตัวได้ 

การหยุดยิงระหว่างอิสราเอล-อิหร่านที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศอาจนำมาซึ่งสันติภาพ แต่ราคาแพงที่อิหร่านต้องจ่ายจากสงครามและการถูกคว่ำบาตร 2 ทศวรรษ ได้ทิ้งเศรษฐกิจของประเทศไว้บนขอบเหวแห่งการล่มสลาย

จากยักษ์น้ำมันที่เคยผลิต 3.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน กลายเป็นชาติที่ส่งออกได้เพียง 102,000 บาร์เรล ท่ามกลางเงินเฟ้อ 40% และประชาชนยากจน 50% เศรษฐกิจอิหร่านวันนี้อยู่ในสภาพที่เลวร้ายกว่าช่วงสงครามอิหร่าน-อิรักในทศวรรษ 1980

เมื่อย้อนดูผลจากการที่อิสราเอลเปิดฉากสงครามกับอิหร่าน ได้จุดชนวนให้ตะวันออกกลางลุกเป็นไฟ การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานสำคัญอิหร่าน และการตอบโต้ของเตหะราน ได้ทำให้ตลาดพลังงานสั่นคลอนและส่งสัญญาณเตือนภัยสำหรับเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อิสราเอล และทั่วโลกไปก่อนหน้านี้ 

ควันลอยขึ้นหลังจากการโจมตีของอิสราเอลในเตหะรานอิหร่าน 18 มิถุนายน 2025

ช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นช่องทางขนส่งน้ำมัน 20% ของโลกและก๊าซธรรมชาติเหลว 1 ใน 4 กำลังตกอยู่ในอันตรายจากการถูกปิด และแม้แต่ความเป็นไปได้เพียงเล็กน้อยที่จะเกิดสถานการณ์เช่นนี้ก็ทำให้ราคาพลังงานพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

สำหรับสหรัฐฯ ซึ่งแบกรับภาระหนี้ 37 ล้านล้านดอลลาร์ เงินเฟ้อเรื้อรัง และความเหนื่อยล้าจากความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างเต็มรูปแบบในความขัดแย้งครั้งนี้อาจหมายถึงการฆ่าตัวตายทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์

่ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาต้นทุนของสงครามและความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจส่งผลกระทบต่ออิหร่าน ซึ่งถือหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการคว่ำบาตรมาหลายปีเช่นกัน 

อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลของอิหร่านได้รับผลกระทบอย่างไร

ตามข้อมูลจากบริษัทวิเคราะห์ Kpler ระบุว่าไม่กี่วันที่ผ่านมา การส่งออกน้ำมันของอิหร่านดูเหมือนจะลดลงอย่างมาก น้ำมันดิบและคอนเดนเสทรวมของอิหร่านคาดว่าจะอยู่ที่ วันละ 102,000 บาร์เรล (bpd) ที่สำคัญ การส่งออกจากเกาะคาร์ก ซึ่งเป็นจุดที่อิหร่านส่งออกน้ำมันมากกว่า 90 % ดูเหมือนจะหยุดชะงักโดยสิ้นเชิงตั้งแต่วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน โดยไม่มีเรือบรรทุกน้ำมันจอดทอดสมออยู่ที่เกาะคาร์กในวันจันทร์ ตามข้อมูลติดตามเรือด้วยดาวเทียมจาก LSEG

ตามข้อมูลจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานแห่งสหรัฐฯ (EIA) ระบุว่า ปี 2025 อิหร่านผลิตน้ำมันดิบเฉลี่ยวันละ 3.4 ล้านบาร์เรล โดยมีจีนเป็นผู้ซื้อรายหลักจากต่างประเทศ น้ำมันส่วนใหญ่ที่อิหร่านผลิตจะใช้บริโภคภายในประเทศ

อิหร่านได้ระงับการผลิตก๊าซบางส่วนที่แหล่งก๊าซ South Pars ในอ่าว หลังจากถูกโจมตีด้วยขีปนาวุธจากอิสราเอล โดยแหล่งก๊าซ South Pars ซึ่งอิหร่านมีร่วมกับกาตาร์นั้น ถือเป็นแหล่งก๊าซที่ใหญ่ที่สุดในโลก และผลิตก๊าซราว 80 % ของปริมาณก๊าซทั้งหมดของอิหร่าน ขอบเขตของความเสียหายที่เกิดขึ้นกับแหล่ง South Pars ที่ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด

นอกจากนี้ อิสราเอลยังได้โจมตีโรงกลั่นน้ำมัน Shahr Rey ชานกรุงเตหะราน รวมถึงคลังเก็บเชื้อเพลิงรอบเมืองหลวง โดยผลกระทบทั้งหมดต่อการผลิตยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด

มาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่านมีบทบาทอย่างไร

ปัจจัยหลายประการ รวมถึงการคว่ำบาตรและการบริหารจัดการทางการเมืองที่ล้มเหลว ได้ทำให้ประเทศที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวชีอะห์ อยู่บนขอบเหวของหายนะทางเศรษฐกิจ

อิหร่านเผชิญมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากสหรัฐฯ หลังการปฏิวัติอิสลามและเหตุการณ์จับตัวประกันที่สถานทูตสหรัฐฯ ในปี 1979 ต่อมาเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของตน เพื่อกดดันให้อิหร่านยอมรับข้อตกลงด้านโครงการนิวเคลียร์ รัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัก โอบามา ได้ชักชวนประเทศเศรษฐกิจสำคัญทั่วโลกให้ลดหรือหยุดการซื้อน้ำมันจากอิหร่าน โดยใช้มาตรการคว่ำบาตรระลอกใหม่

มาตรการคว่ำบาตรเหล่านั้นถูกผ่อนคลายหลังจากอิหร่านบรรลุข้อตกลง แผนปฏิบัติการร่วมอย่างครอบคลุม (JCPOA) ในปี 2015 กับสหรัฐฯ รัสเซีย จีน ฝรั่งเศส เยอรมนี สหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรป

ปีถัดมา อิหร่านสามารถส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมได้วันละ 2.8 ล้านบาร์เรล แต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาใช้มาตรการคว่ำบาตรอีกครั้งในปี 2018 ระหว่างดำรงตำแหน่งสมัยแรก และได้เพิ่มมาตรการใหม่เพื่อกดดันประเทศอื่น ๆ ให้หยุดซื้อน้ำมันดิบจากอิหร่านอีกครั้ง

ผลลัพธ์ตามข้อมูลของ EIA ระบุว่า อิหร่านทำรายได้จากการส่งออกน้ำมันเพียง 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ในช่วงปี 2022 และ 2023 ซึ่งเทียบเท่าการส่งออกน้ำมันดิบราว วันละ 200,000 บาร์เรล หรือคิดเป็นไม่ถึง 10% ของระดับในปี 2016

ผลจากมาตรการคว่ำบาตรคือ รายได้เงินตราต่างประเทศของอิหร่านลดลงอย่างมาก แม้อิหร่านจะสามารถหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจล่มสลายได้บางส่วน ด้วยการพึ่งพาจีนซึ่งเป็นผู้ซื้อรายหลักและเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ยังทำการค้ากับอิหร่าน

การสูญเสียรายได้จากมาตรการคว่ำบาตรได้ตัดโอกาสการพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาวของประเทศ และกระทบต่อความสามารถของรัฐบาลเตหะรานในการซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานที่ชำรุดทรุดโทรม

ประธานาธิบดีมาซูด เปเซชเคียน เน้นย้ำมาตลอด ถึงความรุนแรงของสถานการณ์เศรษฐกิจที่ประเทศกำลังเผชิญ โดยระบุว่าสถานการณ์ของอิหร่านในปัจจุบันนั้นท้าทายยิ่งกว่าช่วงสงครามอิหร่าน อิรักในช่วงทศวรรษ 1980 

ประธานาธิบดีมาซูด เปเซชเคียนแห่ง อิหร่านกล่าวระหว่างการแถลงข่าวร่วมกับนายกรัฐมนตรีเชห์บาซ ชารีฟแห่งปากีสถาน (ไม่ปรากฏในภาพ) ในกรุงเตหะราน ประเทศอิหร่านเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2025

ท่ามกลางประเทศในตะวันออกกลาง อิหร่านยังคงเป็นศูนย์กลางของความสนใจในสื่อระดับนานาชาติอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากโครงการนิวเคลียร์และเครือข่ายกลุ่มตัวแทน (proxy forces) ที่แพร่กระจายไปทั่ว เเต่สิ่งที่ถูกมองข้ามคือ ความยากลำบากทางเศรษฐกิจ ที่ประเทศนี้ต้องเผชิญ โดยตัวชี้วัดด้านสวัสดิการส่วนใหญ่ลดลงถึงระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

ชายคนหนึ่งกำลังเดินอยู่บนถนนท่ามกลาง ความขัดแย้งระหว่าง อิหร่านและอิสราเอลในกรุงเตหะราน การทบทวนผลประกอบการทางเศรษฐกิจของอิหร่านในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมาชี้ให้เห็นถึงรูปแบบของการตกต่ำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า ตัวชี้วัดเหล่านี้สะท้อนอะไร และเหตุใดอิหร่านจึงประสบกับเส้นทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ลงอย่างต่อเนื่อง

ตัวชี้วัดเศรษฐกิจมหภาคบอกอะไรบ้าง

ตามรายงาน World Economic Outlook ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่เผยแพร่ในเดือนตุลาคม 2024 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ตามราคาตลาดของอิหร่านในปี 2024 อยู่ที่ประมาณ 434.24 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

เมื่อพิจารณาจากประชากรเกือบ 90 ล้านคนของประเทศและดัชนีสวัสดิการต่าง ๆ ตัวเลขนี้กลับมีความสำคัญลดลงอย่างมาก โดยอิหร่านร่วงลงมาอยู่อันดับที่ 117 ของโลกในด้าน GDP ต่อหัว นอกจากนี้ อันดับของอิหร่านในดัชนี Legatum Prosperity ซึ่งประเมินองค์ประกอบเชิงโครงสร้างของความมั่งคั่งในมิติที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ก็สะท้อนสถานการณ์อันไม่เอื้ออำนวยของประเทศ โดยอยู่ในอันดับที่ 126 จาก 167 ประเทศ

ตัวชี้วัดเศรษฐกิจมหภาคอื่น ๆ

สะท้อนภาพในเชิงลบเช่นกัน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ค่าเงินเรียลของอิหร่านอ่อนค่าลงอย่างรุนแรงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ โดยอัตราแลกเปลี่ยนในตลาดมืดสูงกว่า 920,000 เรียลต่อดอลลาร์ในปี 2024 อัตราเงินเฟ้อในช่วงเวลาเดียวกันพุ่งเกิน 40% ขณะที่ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และการเข้าถึงสิ่งจำเป็นพื้นฐานลดลงอย่างมาก ซึ่งส่งผลกระทบต่อมาตรฐานการครองชีพอย่างรุนแรง

ข้อมูลทางการระบุว่า ในปี 2024 ประมาณ 33% ของประชากรอิหร่านอยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจน อย่างไรก็ตาม แหล่งข้อมูลบางแห่งชี้ว่า ตัวเลขนี้อาจเกินกว่า 50% ขณะเดียวกัน อัตราว่างงานของเยาวชนแตะระดับ 19.4% โดยชายอายุ 25 ถึง 40 ปีครึ่งหนึ่งไม่มีงานทำและไม่ได้หางาน

แม้จะมีแหล่งสำรองพลังงานไฮโดรคาร์บอนจำนวนมาก แต่อิหร่านก็เผชิญกับวิกฤตพลังงานอย่างรุนแรงในปี 2024 ประเทศมีไฟฟ้าขาดแคลนประมาณ 14,000 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นสัดส่วนสำคัญของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด ในช่วงฤดูหนาว ความต้องการพลังงานที่พุ่งสูงทำให้ไม่สามารถตอบสนองความต้องการก๊าซธรรมชาติรายวันได้ถึง 25% การขาดแคลนดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคอุตสาหกรรม โดยทำให้การผลิตลดลงประมาณ 30 ถึง 40%

ในเวลาเดียวกัน ปัญหาการพร่องของแหล่งน้ำก็ยิ่งเด่นชัด โดยเฉพาะในกรุงเตหะรานซึ่งอ่างเก็บน้ำหลักมีระดับน้ำต่ำในระดับวิกฤต ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำหลักของเมืองลดลงเหลือเพียง 7% ของความจุสูงสุด

ปัญหาที่สำคัญที่สุด

หนึ่งในความท้าทายเชิงโครงสร้างที่ต่อเนื่องและสำคัญที่สุดต่อเศรษฐกิจอิหร่านในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา คืออัตราเงินเฟ้อที่สูงในเชิงโครงสร้าง ซึ่งไม่เพียงแต่บั่นทอนเสถียรภาพด้านราคาเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบเชิงลบต่อการกระจายรายได้ สวัสดิการสังคม และความสามารถในการคาดการณ์เศรษฐกิจ

นับตั้งแต่ปี 2007 การขาดวินัยทางการคลัง การขยายตัวทางการเงินโดยไร้การควบคุม และการปฏิรูปเงินอุดหนุนที่ล้มเหลว ล้วนส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อกลายเป็นปัญหาฝังลึก ในทศวรรษ 2010 การคว่ำบาตรระหว่างประเทศยิ่งทำให้ปัญหาดังกล่าวเลวร้ายขึ้น โดยจุดชนวนให้เกิดวิกฤตค่าเงินและเผยให้เห็นความเปราะบางของโครงสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งพาการนำเข้า

แม้การเจรจานิวเคลียร์จะมอบเสถียรภาพทางเศรษฐกิจชั่วคราว แต่อิหร่านก็ไม่สามารถฟื้นตัวในระยะยาวได้ เนื่องจากขาดการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ต่อมาเหตุการณ์อย่างการถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์ (JCPOA) ในปี 2018 และการรื้อระบบเงินอุดหนุน ก็ยิ่งเร่งแรงกดดันเงินเฟ้อให้รุนแรงขึ้น แม้จะมีการใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวดในปี 2022 และ 2023 แต่อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในช่วง 40–50% ซึ่งบ่งชี้ว่า ตัวขับเคลื่อนหลักไม่ใช่แรงกดดันจากฝั่งอุปสงค์ แต่เกิดจากความไม่สมดุลทางการคลังและข้อจำกัดทางฝั่งอุปทาน

ราคาสินค้าและบริการจำเป็น โดยเฉพาะอาหาร ที่อยู่อาศัย และพลังงาน ที่พุ่งสูงขึ้นได้กัดเซาะอำนาจซื้ออย่างรุนแรง และเพิ่มความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจ การต่อสู้กับเงินเฟ้อในอิหร่านจึงเป็นประเด็นหลายมิติที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยนโยบายการเงินเพียงอย่างเดียว จำเป็นต้องมีการปฏิรูปเชิงโครงสร้างที่ครอบคลุมและมีรากฐานทางสถาบัน

อีกหนึ่งปัญหาเชิงโครงสร้างที่สำคัญ คือความล้มเหลวในการสร้างโอกาสการจ้างงานที่เพียงพอ แม้จะมีประชากรวัยหนุ่มสาวที่เพิ่มขึ้น โดยกลุ่มอายุ 15-34 ปี คิดเป็นประมาณ 45% ของประชากรทั้งหมด ตลาดแรงงานของประเทศไม่สามารถรองรับแรงกดดันทางประชากรนี้ได้ แม้จำนวนประชากรจะเพิ่มขึ้น 8.4 ล้านคน แต่จำนวนผู้มีงานทำกลับล้าหลังอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บัณฑิตมหาวิทยาลัยจำนวนมากไม่ได้เข้าสู่ตลาดแรงงาน ซึ่งหมายถึงทุนมนุษย์ที่ตกค้างอยู่นอกระบบเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการ

แม้จะมีรายได้จากน้ำมันจำนวนมาก แต่อิหร่านกลับล้มเหลวในการพัฒนาภาคการผลิตที่สามารถสร้างการจ้างงานอย่างยั่งยืน เนื่องจากทรัพยากรของรัฐและเอกชนส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้กับการบริโภคและการนำเข้า การขยายตัวของการศึกษาในระดับอุดมศึกษา แม้จะเพิ่มขึ้นในเชิงปริมาณ แต่กลับไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน ทำให้ปัญหาว่างงานของผู้มีการศึกษายิ่งเลวร้ายลง

การวิเคราะห์เส้นทางพัฒนาเศรษฐกิจของอิหร่านระยะยาวยังเผยให้เห็นถึงความอ่อนแอในเชิงโครงสร้างของการค้าต่างประเทศ ในช่วงทศวรรษ 1980 และ 1990 ประเทศดำเนินนโยบายเศรษฐกิจพึ่งตนเองในเชิงอุดมการณ์ และไม่ให้ความสำคัญกับการบูรณาการเข้าสู่เศรษฐกิจโลก แนวทางที่มุ่งสู่ภายในเช่นนี้ถูกซ้ำเติมในทศวรรษ 2010 ด้วยการคว่ำบาตรระหว่างประเทศ ซึ่งจำกัดขีดความสามารถทางการค้าของอิหร่านอย่างรุนแรง

ผลที่ตามมาคือ อิหร่านสูญเสียอิทธิพลในตลาดพลังงานและโลจิสติกส์ของภูมิภาค ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมยังคงอยู่นอกการแข่งขันในระดับนานาชาติ อิหร่านจึงพลาดโอกาสในการปรับปรุงเทคโนโลยีและการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ความพึ่งพาการค้ากับพันธมิตรจำนวนน้อยยังเพิ่มความเปราะบางทางเศรษฐกิจ เป็นความเสี่ยงเชิงโครงสร้างต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค

ความท้าทายด้านการค้าของอิหร่านจึงไม่สามารถแก้ได้ด้วยการยกเลิกคว่ำบาตรเพียงอย่างเดียว ความสำเร็จของยุทธศาสตร์การพัฒนาในระยะยาวขึ้นอยู่กับการสร้างโครงสร้างเศรษฐกิจที่สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก และบูรณาการกับระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศ โดยปลอดจากข้อจำกัดทางอุดมการณ์

ตามประวัติศาสตร์ ความสัมพันธ์ของอิหร่านกับระบบเศรษฐกิจโลกขับเคลื่อนโดยการค้าขายเป็นหลัก โดยเน้นการส่งออกน้ำมันดิบและนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรม ในทางปฏิบัติ อิหร่านพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจภายนอกที่มุ่งเน้นการค้าระยะสั้นโดยพึ่งพาการส่งออกน้ำมัน ปัญหาการดึงดูด FDI ที่ล้มเหลวอย่างต่อเนื่องไม่เพียงขัดขวางการบูรณาการเข้าสู่กระแสเงินทุนโลก แต่ยังสะท้อนถึงจุดอ่อนเชิงโครงสร้างที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

นโยบายรัฐที่พยายามให้ความสำคัญกับการนำเข้าสินค้าทุนมากกว่าสินค้าอุปโภคบริโภคก็ไม่สามารถสนับสนุนโครงสร้างทุนเชิงผลิตในระยะยาวได้ ขณะที่ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่จำนวนมากใช้ FDI ขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก

อิหร่านกลับยังคงอยู่นอกขอบของการเปลี่ยนแปลงนี้ ซึ่งยิ่งเลวร้ายลงจากการขาดความโปร่งใส การคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินที่อ่อนแอ และโครงสร้างพื้นฐานเชิงสถาบันที่ไม่พัฒนา

ช่วงเวลาที่กระแสเงินทุนโลกกระจายตัวมากขึ้นทั้งในเชิงภูมิศาสตร์และภาคธุรกิจ อิหร่านยังคงถูกกีดกันอย่างเป็นระบบ และแม้จะมีศักยภาพในการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ แต่กลับไม่สามารถแสดงตัวว่าเป็นตลาดที่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนระหว่างประเทศ