ความวิตกกังวลของชาวอเมริกันพุ่งสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หลังเหตุการณ์สหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งโจมตีทางอากาศใส่สถานที่เกี่ยวข้องกับฐานนิวเคลียร์ของอิหร่าน ซึ่งผลกระทบจากการตัดสินใจดังกล่าวไม่เพียงแต่จุดชนวนให้ความตึงเครียดในตะวันออกกลางปะทุขึ้นอีกครั้ง แต่ยังส่งแรงสะเทือนไปถึงภายในประเทศและเวทีการเมืองโลก
โดยเฉพาะเมื่อผลสำรวจของ Reuters/Ipsos ที่เผยแพร่เมื่อคืนนี้ชี้ว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ไม่เพียงแค่ไม่สบายใจกับการโจมตีครั้งนี้ แต่ยังแสดงความกังวลว่าเหตุการณ์อาจบานปลายกลายเป็นความขัดแย้งครั้งใหญ่
การสำรวจความคิดเห็นจากกลุ่มตัวอย่างชาวอเมริกันจำนวน 1,139 คนทั่วประเทศ ซึ่งจัดทำขึ้นนับตั้งแต่หลังการโจมตีจนถึงเช้าวันจันทร์ที่ผ่านมา ก่อนที่อิหร่านจะประกาศว่าตนเองได้ยิงตอบโต้ใส่ฐานทัพสหรัฐฯ ในกาตาร์ เผยให้เห็นว่า 84% ของผู้ตอบแบบสอบถามกังวลโดยรวมกับความขัดแย้งที่กำลังปะทุ และกว่า 79% ระบุว่า พวกเขากลัวว่าอิหร่านอาจหันมาโจมตีพลเรือนอเมริกันเพื่อตอบโต้การโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ นอกจากนี้ยังมีความกังวลในหมู่ประชาชนเกี่ยวกับความปลอดภัยของทหารอเมริกันที่ประจำการอยู่ในตะวันออกกลางด้วย
ผลสำรวจครั้งนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงความแตกแยกทางการเมืองในสหรัฐฯ เมื่อถามถึงบทบาทของวอชิงตันในความขัดแย้งกับอิหร่าน โดยเฉพาะในหมู่ผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกัน พบว่า 42% ต้องการให้สหรัฐฯ ยุติการมีส่วนร่วมในความขัดแย้งทันที ในขณะที่อีก 40% ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว ความแตกแยกภายในนี้กลายเป็นอีกหนึ่งความท้าทายสำคัญต่อทรัมป์ในฐานะผู้นำประเทศ ซึ่งกำลังเผชิญแรงกดดันหนักหน่วงจากทั้งในและนอกประเทศ โดยคะแนนนิยมของเขาในเวลานี้ตกลงมาอยู่ที่ระดับ 41% ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีชุดปัจจุบัน
เหตุโจมตีอิหร่านครั้งนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อความรู้สึกของประชาชน แต่ยังเผยให้เห็นมิติใหม่ใน “สไตล์การเจรจา” ของทรัมป์ด้วย นักวิเคราะห์จาก Reuters Breakingviews ชี้ว่า ทรัมป์มีชื่อเสียงเรื่องการใช้วิธีการเจรจาที่ทั้งแข็งกร้าวและพร้อมถอยเมื่อสถานการณ์บีบคั้น ซึ่งในอดีตเคยเห็นได้จากกรณีการเจรจาการค้ากับจีนและอังกฤษ รวมถึงความพยายามเจรจากับอิหร่านในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ที่แม้เขาจะเปิดโต๊ะเจรจา แต่ก็ไม่ลืมแนบคำขู่เรื่อง “ภัยอันใหญ่หลวง” ไว้ด้วยเสมอ
อย่างไรก็ตาม การที่ทรัมป์ตัดสินใจเดินเกมรุกด้วยการโจมตีเป้าหมายสำคัญของอิหร่านในครั้งนี้ ถือเป็นการทลายรูปแบบเดิมที่เขาเคยใช้มาโดยตลอด มีรายงานจาก New York Times ระบุว่า ความพยายามด้านการทูตของสหรัฐฯ ที่ผ่านมาเป็นเพียงการเบี่ยงเบนความสนใจ เพื่อเปิดทางให้สหรัฐฯ สนับสนุนปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลอย่างลับๆ การ “ไฟเขียว” ปฏิบัติการที่สุ่มเสี่ยงนี้ทำให้ชัดเจนว่า ทำเนียบขาวในยุคทรัมป์พร้อมยกระดับสถานการณ์เข้าสู่ความวุ่นวายมากกว่าที่หลายฝ่ายเคยคาดการณ์
ท่ามกลางความคลุมเครือของนโยบายต่างประเทศ และความขัดแย้งที่อาจลุกลาม ความเคลื่อนไหวล่าสุดของทรัมป์ทำให้ทั้งพันธมิตรทางเศรษฐกิจและคู่ค้าระหว่างประเทศต้องกลับมาประเมินสถานการณ์ใหม่อีกครั้ง โดยเฉพาะในช่วงที่ข้อตกลงทางการค้าหลายฉบับกำลังเดินหน้าเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ