environment

โลกร้อนแตะขีดวิกฤติ ปะการังทั่วโลกเผชิญการตายครั้งใหญ่

In Brief

  • รายงานฉบับใหม่เตือนว่าแนวปะการังน้ำอุ่นทั่วโลกได้เข้าสู่ "จุดเปลี่ยน" (tipping point) ของการเสื่อมโทรมรุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว เนื่องจากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นเกิน 1.2 องศาเซลเซียส
  • ทั่วโลกกำลังเผชิญเหตุการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งที่ 4 ซึ่งรุนแรงที่สุดในประวัติการณ์ โดยส่งผลกระทบต่อแนวปะการังกว่า 80% ในมากกว่า 80 ประเทศ
  • การเสื่อมโทรมของแนวปะการังส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้คนหลายร้อยล้านคนที่ต้องพึ่งพาเป็นแหล่งอาหารและรายได้ และคุกคามสิ่งมีชีวิตในทะเลถึงหนึ่งในสี่ของทั้งหมด

โลกได้เข้าสู่จุดเปลี่ยนทางสิ่งแวดล้อมครั้งแรกที่เชื่อมโยงกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยแนวปะการังน้ำอุ่นทั่วโลกกำลังเผชิญภาวะเสื่อมโทรมระยะยาว และเสี่ยงต่อการสูญเสียแหล่งทำกินของผู้คนหลายร้อยล้านคน ตามรายงานฉบับใหม่ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2025 จากนักวิทยาศาสตร์และนักอนุรักษ์เตือนว่า โลกกำลังอยู่บนขอบเหวของจุดเปลี่ยนอื่น ๆ อีกหลายประการ เช่น การตายของป่าฝนแอมะซอน การล่มสลายของกระแสน้ำในมหาสมุทร และการสูญเสียน้ำแข็งขั้วโลก

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางรายตั้งข้อสงสัยต่อข้อสรุปในรายงาน โดยชี้ว่า แม้แนวปะการังจะอยู่ในภาวะถดถอย แต่ยังมีหลักฐานบางส่วนบ่งชี้ว่า ปะการังบางชนิดอาจยังคงอยู่รอดได้ในอุณหภูมิที่สูงกว่าที่รายงานประเมินไว้

นักวิทยาศาสตร์นิยาม “จุดเปลี่ยน” (tipping point) ว่าเป็นจุดที่ระบบนิเวศขนาดใหญ่เข้าสู่ภาวะเสื่อมถอยรุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แนวปะการังทั่วโลกเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตในทะเลถึงหนึ่งในสี่ของทั้งหมด แต่ถือเป็นระบบนิเวศที่เปราะบางที่สุดต่อภาวะโลกร้อน

หากอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกไม่ลดลงสู่ระดับ 1.2 องศาเซลเซียส (และในที่สุดอย่างน้อยต้องถึง 1 องศา) อย่างเร่งด่วน มนุษย์จะไม่สามารถรักษาแนวปะการังน้ำอุ่นไว้ในระดับที่มีความหมายได้

แนวปะการังทั่วโลกกำลังประสบ “เหตุการณ์ฟอกขาว” ครั้งใหญ่

ตั้งแต่เดือนมกราคม 2023 ซึ่งเป็นครั้งที่ 4 และรุนแรงที่สุดในประวัติการณ์ โดยกว่า 80% ของแนวปะการังในมากกว่า 80 ประเทศได้รับผลกระทบจากอุณหภูมิมหาสมุทรที่ร้อนจัด 

รายงาน Global Tipping Points นำโดยมหาวิทยาลัยเอ็กซีเตอร์ (University of Exeter) และได้รับการสนับสนุนจากกองทุนของ Jeff Bezos เจ้าของ Amazon มีนักวิทยาศาสตร์ 160 คนจาก 87 สถาบันใน 23 ประเทศร่วมจัดทำ รายงานประเมินว่า แนวปะการังเข้าสู่จุดเปลี่ยนเมื่ออุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นระหว่าง 1 ถึง 1.5 องศาเซลเซียสจากระดับในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 โดยมีค่ากลางอยู่ที่ 1.2 องศา ปัจจุบันภาวะโลกร้อนอยู่ที่ประมาณ 1.4 องศาเซลเซียส

หากไม่มีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างรวดเร็ว ซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้ ระดับอุณหภูมิ 1.5 องศาจะเกิดขึ้นภายใน 10 ปีข้างหน้า

ศาสตราจารย์ ทิม เลนตัน (Tim Lenton) จากสถาบัน Global Systems Institute มหาวิทยาลัยเอ็กซีเตอร์ กล่าวว่า ไม่สามารถพูดถึงจุดเปลี่ยนในฐานะความเสี่ยงในอนาคตได้อีกต่อไป เพราะการสูญเสียแนวปะการังน้ำอุ่นในวงกว้างได้เริ่มขึ้นแล้ว

ผลกระทบนี้ส่งต่อโดยตรงต่อผู้คนหลายร้อยล้านคนที่พึ่งพาแนวปะการังเป็นแหล่งอาหารและรายได้ รายงานยังชี้ไปที่พื้นที่ทะเลแคริบเบียนซึ่งประสบคลื่นความร้อนทางทะเล การระบาดของโรค และความหลากหลายน้อยลง ทำให้แนวปะการัง ใกล้ล่มสลาย

ศาสตราจารย์ปีเตอร์ มัมบี (Peter Mumby) นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำด้านปะการังจากมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ระบุว่า แม้ยอมรับว่าแนวปะการังกำลังถดถอย แต่มีหลักฐานใหม่บ่งชี้ว่าปะการังบางชนิดอาจปรับตัวได้และคงอยู่ได้แม้อุณหภูมิโลกจะสูงถึง 2 องศาเซลเซียส โดยเน้นว่า แนวปะการังจำเป็นต้องได้รับการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศอย่างเข้มข้นควบคู่กับการจัดการท้องถิ่นที่ดีขึ้น แต่แสดงความกังวลว่ารายงานอาจถูกตีความว่าแนวปะการังกำลังล่มสลาย ซึ่งไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่เขาพบ

ดร.ไมค์ บาร์เร็ตต์ (Mike Barrett) ที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์ของ WWF สหราชอาณาจักร และผู้เขียนร่วมรายงาน กล่าวว่า รายงานนี้แสดงให้เห็นว่าการอนุรักษ์แนวปะการังตอนนี้สำคัญกว่าที่เคย เกมเปลี่ยนไปแล้ว และการตอบสนองต้องเร่งด่วนจริง ๆ แนวปะการังบางแห่งที่เรียกว่า “refugia” หรือพื้นที่ที่ผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศไม่รุนแรงนัก จำเป็นต้องได้รับการปกป้องเป็นลำดับแรก

ดร.เทรซี เอนส์เวิร์ธ (Tracy Ainsworth) รองประธานสมาคมแนวปะการังนานาชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ระบบนิเวศแนวปะการังในหลายพื้นที่กำลังเปลี่ยนแปลง บางแห่งไม่ได้ถูกครอบงำโดยปะการังอีกต่อไป หรือกำลังสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ อนาคตของแนวปะการังคือการเปลี่ยนแปลง การปรับโครงสร้างของระบบนิเวศ และความท้าทายใหม่ 

ในถ้อยแถลงของสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเลแห่งออสเตรเลีย (Australian Institute of Marine Science) ระบุว่า การตีความตัวเลขระดับโลกควรใช้ความระมัดระวังด้วยเหตุผลสองประการ คือ ตัวเลขอาจกลบความแปรผันระดับภูมิภาค และอุณหภูมิโลกยังไม่คงที่ซึ่งแสดงว่ายังมีหน้าต่างแห่งโอกาสให้ดำเนินการได้อยู่

โลกเข้าสู่เขตอันตราย

บางส่วนของแผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติกตะวันตกและเกาะกรีนแลนด์กำลังเข้าใกล้จุดเปลี่ยนอย่างน่ากลัวเนื่องจากกำลังสูญเสียน้ำแข็งในอัตราเร่ง การสูญเสียน้ำแข็งที่ยังติดอยู่กับพื้นดินจะทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ป่าฝนแอมะซอนที่อยู่ภายใต้แรงกดดันจากวิกฤติสภาพภูมิอากาศและการตัดไม้ทำลายป่า กำลังเข้าใกล้จุดเปลี่ยนเร็วกว่าที่คาดไว้

อย่างไรก็ตาม รายงานยังเสนอความหวังเชิงบวก โดยระบุว่ามีจุดเปลี่ยนเชิงบวกในสังคม เช่น การยอมรับรถยนต์ไฟฟ้า ที่อาจเกิดผลต่อเนื่องในทางที่ดีและช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างรวดเร็ว