net-zero

7 เทรนด์แฟชั่นยั่งยืนปี 2026 เขย่าอุตสาหกรรม จากผู้บริโภคถึงแบรนด์

In Brief

  • ผู้บริโภคจะเปลี่ยนจากการไล่ตามเทรนด์ มาให้ความสำคัญกับการสร้างสไตล์ส่วนตัวที่สะท้อนตัวตน โดยเลือกเสื้อผ้าคุณภาพดี มีที่มาโปร่งใส และทำจากวัสดุธรรมชาติที่ปลอดภัย
  • ตลาดเสื้อผ้ามือสองจะเติบโตจนกลายเป็นกระแสหลัก ควบคู่ไปกับเทรนด์การแต่งตัวสไตล์ Maximalism ที่เน้นสีสันและลวดลายจัดจ้าน ซึ่งท้าทายภาพลักษณ์เดิมของแฟชั่นยั่งยืน
  • แบรนด์ยั่งยืนต้องเผชิญความท้าทายจากการแข่งขันที่รุนแรงของแบรนด์อัลตราฟาสต์แฟชั่น และอิทธิพลของ AI ที่อาจเร่งวงจรการผลิตให้เร็วและขาดความเป็นตัวตนยิ่งขึ้น

อุตสาหกรรมแฟชั่นโลกกำลังยืนอยู่บนทางแยกสำคัญ ระหว่างการเติบโตอย่างรวดเร็วของฟาสต์แฟชั่นกับกระแสเรียกร้องด้านความยั่งยืนที่เข้มข้นขึ้นจากผู้บริโภค โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ขณะที่แรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอน เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และกฎเกณฑ์ด้านความโปร่งใสของสหภาพยุโรป กำลังเปลี่ยนโฉมธุรกิจแฟชั่นทั้งระบบ

รายงานแนวโน้มแฟชั่นยั่งยืนปี 2026 จาก Project Cece สะท้อนภาพอุตสาหกรรมที่เต็มไปด้วยทั้งโอกาสและความเปราะบาง ตั้งแต่พฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาเน้นตัวตน คุณค่า และที่มา ไปจนถึงความท้าทายของแบรนด์ยั่งยืนที่ต้องแข่งขันในตลาดซึ่ง “เร็วและถูก” ยิ่งกว่าเดิม

7 เทรนด์และการคาดการณ์แฟชั่นยั่งยืนสำหรับปี 2026

ผู้บริโภคหันมาโอบรับสไตล์แฟชั่นเชิงจริยธรรมในแบบของตนเอง

1. สไตล์เฉพาะตัวสำคัญกว่าการตามเทรนด์

แม้แฟชั่นฟาสต์แฟชั่นจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ผู้บริโภคจำนวนมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z เริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายกับเทรนด์ที่ขาดความเป็นตัวตน

ดังนั้น การคาดการณ์หลักด้านแฟชั่นเชิงจริยธรรมสำหรับปี 2026 คือ การเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ไปสู่การพัฒนาสไตล์ของตนเอง ไม่ใช่การแต่งตัวเพื่อสร้างความประทับใจให้ผู้อื่น แต่เพื่อสะท้อนตัวตนของเราเอง

การแต่งกายจะมีความตระหนักรู้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการส่งสารบางอย่าง การเลือกชิ้นงานที่มีความหมาย หรือการบอกเล่าเรื่องราวและบุคลิกภาพของผู้สวมใส่และเนื่องจากแบรนด์แฟชั่นยั่งยืนให้ความสำคัญกับเสื้อผ้าแบบไร้ฤดูกาลหรือเหนือกาลเวลา มากกว่าการไล่ตามกระแสระยะสั้น เทรนด์นี้จึงเป็นข่าวดีสำหรับแบรนด์เหล่านี้

สิ่งที่การคาดการณ์แฟชั่นยั่งยืนปี 2026 ข้อนี้จะเห็นได้ในทางปฏิบัติ ได้แก่

  • เสื้อผ้าผลิตตามคำสั่งซื้อ (Made-to-order)
  • แฟชั่นจากการอัปไซเคิล (Upcycled fashion)
  • วินเทจที่ผ่านการคัดสรร (Curated vintage)

การซื้อเสื้อผ้าจำนวนน้อยลง แต่สามารถนำมาใส่ซ้ำและมิกซ์แอนด์แมตช์ได้หลากหลาย แบรนด์ร่วมงานกับอินฟลูเอนเซอร์รายเล็ก และใช้คอนเทนต์จากผู้ใช้จริงอย่างเป็นธรรมชาติ (authentic user-generated content)

ให้ความสำคัญกับวัสดุธรรมชาติและปลอดภัย

ผู้บริโภคจำนวนมากเริ่มเรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น พร้อมกับสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลก ในบริบทของแฟชั่นยั่งยืน เรื่องนี้มักหมายถึงการเลือกใช้ผ้าที่อ่อนโยนและเสื้อผ้าที่ปราศจากสารเคมีอันตราย ซึ่งตรงกันข้ามกับเสื้อผ้าฟาสต์แฟชั่นส่วนใหญ่

อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติไม่ได้หมายความว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือปลอดภัยเสมอไป ตัวอย่างเช่น ฟาสต์แฟชั่นพึ่งพาฝ้ายที่ปลูกแบบดั้งเดิมในปริมาณมาก ซึ่งแม้จะเป็นวัสดุธรรมชาติ แต่ก็เต็มไปด้วยสารเคมีและสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง

สิ่งที่การคาดการณ์แฟชั่นยั่งยืนปี 2026 ข้อนี้จะเห็นได้ในทางปฏิบัติ ได้แก่

  • ผ้าธรรมชาติและผ้าออร์แกนิกได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น

3. แม็กซิมัลลิสม์ (Maximalism) 

ปี 2026 จะเป็นปีของแม็กซิมัลลิสม์มากกว่าความหรูหราแบบเงียบ (quiet luxury) โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Z เรื่องนี้อาจฟังดูเป็นข่าวร้ายสำหรับแบรนด์ยั่งยืนที่มักถูกมองว่า เรียบง่าย โทนกลาง และมินิมัล แต่ในความเป็นจริง แฟชั่นยั่งยืนไม่ได้จำกัดอยู่แค่นั้น หลายแบรนด์มีคอลเลกชันที่เหมาะกับสไตล์แม็กซิมัลลิสม์อย่างลงตัว

สิ่งที่การคาดการณ์แฟชั่นยั่งยืนปี 2026 ข้อนี้จะเห็นได้ในทางปฏิบัติ ได้แก่

  • สีสันจัดจ้าน
  • ลวดลายที่ตัดกัน
  • การใส่หลายเลเยอร์
  • เครื่องประดับจำนวนมาก
  • พื้นผิวและรายละเอียดที่สังเกตเห็นได้ เช่น การทอหรือการจับจีบ
  • ชิ้นงานที่โดดเด่น (statement pieces)

4. เสื้อผ้ามือสองกลายเป็นกระแสหลักมากยิ่งขึ้น

ตลาดเสื้อผ้ามือสองยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยทั้งเหตุผลเชิงบวก เช่น การปฏิเสธฟาสต์แฟชั่นและการลดของเสีย และเหตุผลที่น่าเศร้า เช่น งบประมาณที่จำกัดลงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจอย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนจะรู้ว่าแฟชั่นวินเทจและเสื้อผ้ามือสองไม่ได้มีจริยธรรมเสมอไป และยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับ “ลัทธิล่าอาณานิคมด้านขยะ” (waste colonialism) ในประเทศกำลังพัฒนา เเต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีวิธีในการสนับสนุนตลาดมือสองอย่างยั่งยืนมากขึ้น

สิ่งที่การคาดการณ์แฟชั่นยั่งยืนปี 2026 ข้อนี้จะเห็นได้ในทางปฏิบัติ ได้แก่

  • แบรนด์จัดทำโครงการรับคืนสินค้าและนำมาจำหน่ายต่อในราคาที่ต่ำลง
  • การเติบโตของแพลตฟอร์มและมาร์เก็ตเพลสสำหรับการรีเซล

5. โฟกัสคุณภาพ ความโปร่งใส และผู้คนกับเรื่องราวเบื้องหลังเสื้อผ้า

แบรนด์ฟาสต์แฟชั่นจำนวนมากยังพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานที่ไม่โปร่งใส แรงงานเด็ก และสภาพการทำงานที่เข้าข่ายทาสยุคใหม่ ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคจำนวนมากเริ่มตระหนักถึงปัญหานี้มากขึ้น นอกจากนี้ การเปลี่ยนจากการตามเทรนด์ไปสู่การแสดงออกถึงตัวตน ยังสะท้อนถึงความต้องการเสื้อผ้าที่มีความหมาย ผลิตอย่างมีจริยธรรม หรือเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจที่ใหญ่กว่า

ขณะเดียวกัน แม้จะมีการถอยหลังบางประเด็น สหภาพยุโรปยังคงเดินหน้าผลักดันความโปร่งใสและต่อต้านการฟอกเขียว (greenwashing)

สิ่งที่การคาดการณ์แฟชั่นยั่งยืนปี 2026 ข้อนี้จะเห็นได้ในทางปฏิบัติ ได้แก่

  • แบรนด์ที่สื่อสารถึงภารกิจ สนับสนุนประเด็นสังคม หรือเปิดเผยข้อมูลแรงงานอย่างโปร่งใส
  • การตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานที่เข้มงวดมากขึ้น

6. อิทธิพลของปัญญาประดิษฐ์ (AI)

การเติบโตอย่างรวดเร็วของ AI ในอุตสาหกรรมแฟชั่นมาพร้อมทั้งข่าวดี เช่น การลดต้นทุน ลดของเสีย และเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงข่าวที่น่ากังวล

สิ่งที่การคาดการณ์แฟชั่นยั่งยืนปี 2026 ข้อนี้จะเห็นได้ในทางปฏิบัติ ได้แก่

  • เสื้อผ้าที่ขาดความเป็นตัวตนมากขึ้น การผลิตที่รวดเร็วขึ้นอีก และนักออกแบบอิสระหรือดีไซเนอร์ท้องถิ่นอาจถูกลอกเลียนแบบผลงานหรือแพตเทิร์น
  • ผู้บริโภคอาจเริ่มเบื่อหน่ายและหันกลับไปหาเสื้อผ้าที่มีความหมาย เรื่องราว หรือภารกิจชัดเจน

7. ฟาสต์แฟชั่นที่เร็วขึ้นกว่าเดิม

แม้ผู้บริโภคจำนวนมากขึ้นจะหันมาเลือกเสื้อผ้ายั่งยืน แต่ฟาสต์แฟชั่นยังเติบโตถึง 10.74% นับจากปี 2024 และไม่เห็นสัญญาณว่าจะชะลอลง

สิ่งที่การคาดการณ์แฟชั่นยั่งยืนปี 2026 ข้อนี้จะเห็นได้ในทางปฏิบัติ ได้แก่

  • ยักษ์ใหญ่อัลตราฟาสต์แฟชั่นอย่าง SHEIN จะยังคงขยายตัวต่อไป โดยดึงดูดผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มที่มีงบประมาณจำกัด ด้วยราคาที่ถูกอย่างไม่ยั่งยืน
  • แบรนด์ยั่งยืนจำนวนมากจะเผชิญความยากลำบากในการแข่งขันหรือเข้าถึงผู้บริโภค และอาจต้องหายไปจากตลาด