In Brief
แนวโน้มด้านความยั่งยืนและ ESG หรือหลักการประเมินความยั่งยืนของธุรกิจ Environment (สิ่งแวดล้อม), Social (สังคม) และ Governance (ธรรมาภิบาล) สำหรับปี 2026 กำลังเริ่มกำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจอย่างชัดเจน หากจะใช้คำอธิบายเส้นทางที่ผ่านมา คงหนีไม่พ้นคำว่า “ความปั่นป่วน” และ “ความแตกแยก” ยุโรป เอเชีย และสหรัฐอเมริกา ต่างเผชิญความตึงเครียดทางการเมืองและกฎระเบียบ ซึ่งส่งผลต่อการลงทุนด้านความยั่งยืน และก่อให้เกิดคำถามว่า ESG กำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางใดกันแน่
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความไม่แน่นอนและกระแสต่อต้านในหลายเศรษฐกิจ นักลงทุนระดับโลกยังไม่ได้ลดความสำคัญของผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนลง สิ่งนี้เป็นสัญญาณเตือนต่อภาคธุรกิจ โดยเฉพาะบริษัทที่ดำเนินงานในตลาดโลกว่าจำเป็นต้องทำให้การดำเนินงานและกลยุทธ์มีความยืดหยุ่น พร้อมปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านสภาพภูมิอากาศ ห่วงโซ่อุปทาน เทคโนโลยี และกฎระเบียบ หากต้องการรักษาความสามารถในการแข่งขันและความยั่งยืนในระยะยาว
แรงกดดันด้าน ESG ต่อธุรกิจ SME เพิ่มสูงขึ้น
หนึ่งในเทรนด์ ESG ที่โดดเด่นของปี 2026 คือแรงกดดันด้านความยั่งยืนที่เพิ่มขึ้นต่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งมีจำนวนมากในสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ และมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจ ทั้งด้านการจ้างงานและนวัตกรรม การนำแนวปฏิบัติด้านความยั่งยืนมาใช้ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นเรื่องใหม่หรือจำกัดอยู่เฉพาะบางองค์กรอีกต่อไป ความคาดหวังจากลูกค้าและนักลงทุนได้ผลักดันให้ความรู้ด้านความยั่งยืนกลายเป็นหัวใจของลำดับความสำคัญ
ปี 2026 ธุรกิจ SME จะต้องสามารถแสดงหลักฐานสนับสนุนการดำเนินงานด้านความยั่งยืน นอกเหนือจากข้อกำหนดภาคบังคับ สำหรับบริษัทที่ต้องการขยับขึ้นไปอยู่ในระดับบนของห่วงโซ่อุปทาน การจัดทำนโยบายที่ชัดเจนและข้อมูลที่ตรวจสอบย้อนกลับได้จะเป็นสิ่งจำเป็น กระบวนการตรวจสอบสถานะ (due diligence) จะไม่ใช่เพียงการกรอกแบบสอบถามจัดซื้อจัดจ้างอีกต่อไป
แต่จะเป็นกลไกที่สะท้อนความพร้อมและความยืดหยุ่นของ SME ในการรับมือความเสี่ยงและคว้าโอกาส จากข้อมูลของ EcoVadis (2025) ระบุว่า 72% ของ SME ยังไม่มีแผนลดการปล่อยคาร์บอนที่ชัดเจน ซึ่งสะท้อนว่าหนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล
อย่างไรก็ตาม SME ที่เพิ่งเริ่มจัดทำรายงานด้านความยั่งยืน ไม่จำเป็นต้องจัดทำเอกสารที่ยาวและเป็นทางการเกินไป หากมีจรรยาบรรณ (Code of Conduct) นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ความยั่งยืน และสิทธิมนุษยชนที่ชัดเจน พร้อมระบุตัวชี้วัดผลการดำเนินงานและความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ก็ถือเป็นแนวปฏิบัติที่เหมาะสมแล้ว
เทรนด์ ESG ปี 2026 ไม่อาจละเลยบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้ AI มีบทบาทอย่างลึกซึ้งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาและยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยบทบาทใน ESG จะยิ่งสำคัญมากขึ้น เนื่องจากข้อมูล ESG มีความซับซ้อน ทำให้หน่วยงานกำกับดูแล ลูกค้า และนักลงทุนต้องการข้อมูลที่ละเอียดลึกขึ้น เครื่องมือ AI จึงช่วยสนับสนุนการวิเคราะห์และการจัดทำรายงานให้มีประสิทธิภาพ ลดความซับซ้อน เร่งกระบวนการยืนยันข้อมูล และช่วยป้องกันความเสี่ยงจากการกล่าวอ้างเกินจริงหรือ greenwashing
บริษัทที่นำ AI มาใช้สนับสนุนการจัดทำรายงาน ESG จะช่วยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถประเมินความสอดคล้องระหว่างความคาดหวังและคุณค่าที่องค์กรสร้างได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ AI ยังมีศักยภาพสูงในการป้องกันผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีบทบาทด้านกำกับดูแลจำเป็นต้องทำความเข้าใจศักยภาพและข้อจำกัด รวมถึงอคติที่อาจเกิดขึ้นจาก AI อย่างรอบด้าน
การรายงานด้านธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ
การรายงานด้านธรรมชาติ (nature-related reporting) เป็นอีกหนึ่งเทรนด์สำคัญของปี 2026 บริษัทจะถูกคาดหวังให้วัดและรายงานผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพและทุนทางธรรมชาติมากขึ้น แรงกดดันหลัก เช่น การเปลี่ยนแปลงถิ่นที่อยู่อาศัย การใช้ทรัพยากรเกินขีดจำกัด และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังคงทวีความรุนแรง ทำให้ช่องว่างระหว่างเป้าหมายกับการลงมือปฏิบัติจริงต้องถูกลดลงอย่างเร่งด่วน ตามกรอบ Kunming–Montreal Global Biodiversity Framework
กฎระเบียบจะยังคงถูกผลักดันอย่างต่อเนื่อง เช่น กฎหมาย Nature Restoration Law ของสหภาพยุโรป ที่กำหนดให้ประเทศสมาชิกต้องจัดทำแผนฟื้นฟูระดับชาติภายในปี 2026 ขณะเดียวกัน สนธิสัญญาทะเลหลวง (High Seas Treaty) ซึ่งเป็นกรอบกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อจัดตั้งพื้นที่คุ้มครองในทะเลหลวง จะมีผลบังคับใช้ตามกฎหมายในเดือนมกราคม 2026
TNFD (Taskforce on Nature-related Financial Disclosures) จะมีบทบาทในการผลักดันให้องค์กรบริหารและลดความเสี่ยงจากการเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าจะช่วยสนับสนุนการติดตามและการตัดสินใจ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถวัดและรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้แม่นยำยิ่งขึ้น
การต่อสู้กับ greenwashing ทวีความเข้มข้น
greenwashing ได้รับการยอมรับมาอย่างยาวนานว่าเป็นปัญหาร้ายแรง แม้ทิศทางกฎระเบียบจะยังไม่ชัดเจน แต่หน่วยงานกำกับดูแลยังคงเดินหน้าจัดทำกรอบที่ชัดเจนเพื่อลดความคลุมเครือของการกล่าวอ้างด้านความยั่งยืน ผู้เชี่ยวชาญควรเตรียมรับสองสถานการณ์ คือ การที่ EU Green Claims Directive อาจได้รับการสรุปในปี 2026 พร้อมการบังคับใช้ในภายหลัง หรือหากไม่ผ่าน กฎ EmpCo (Empowering Consumers for the Green Transition Directive) จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 27 กันยายน 2026
แม้ GCD จะเสนอการตรวจสอบที่เข้มงวดกว่า แต่ธุรกิจจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมตั้งแต่วันนี้ โดยทำให้การกล่าวอ้างมีความโปร่งใสและมีหลักฐานรองรับ ธุรกิจที่มุ่งเน้นแนวปฏิบัติสีเขียวที่แท้จริง ไม่เพียงพร้อมต่อกฎที่อาจเข้มงวดขึ้น แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นระยะยาวให้ลูกค้าและนักลงทุน เพราะเมื่อผู้บริโภครับรู้ถึงการบิดเบือน ความเสียหายด้านการเงินและชื่อเสียงจะยากต่อการฟื้นฟู
ความต้องการการรับรองข้อมูลเพิ่มสูงขึ้น
การรับรองข้อมูล (assurance) เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ ESG สำคัญในปี 2026 แม้กฎระเบียบในยุโรปและสหรัฐฯ จะยังไม่เสถียร แต่หลายองค์กรต้องเผชิญกับการเปิดเผยข้อมูลภาคบังคับ และเข้าสู่รอบแรกของการรับรองข้อมูลด้านความยั่งยืน ความต้องการข้อมูลที่ผ่านการรับรองจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในองค์กรขนาดใหญ่ ที่ต้องเผชิญการตรวจสอบเชิงลึกทั้งขอบเขต วิธีการ และมาตรฐาน
แม้การรับรองจะมีต้นทุนและข้อจำกัดด้านทรัพยากร แต่มีบทบาทสำคัญต่อการเข้าถึงแหล่งทุน ความเชื่อมั่นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การบริหารความเสี่ยง และชื่อเสียงขององค์กร สำหรับ SME แม้ยังไม่ถูกบังคับตามกฎหมาย แต่แรงกดดันจะเริ่มชัดเจนในปี 2026 ทำให้ต้องเริ่มจัดเก็บข้อมูลที่เชื่อถือได้และการรับรองในห่วงโซ่คุณค่า เพื่อหลีกเลี่ยงการกล่าวอ้างด้านความยั่งยืนที่อ่อนแอ
เครื่องมือการเงินยั่งยืนพัฒนาและเติบโต
2026 จะเป็นปีแห่งการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของการเงินยั่งยืน รวมถึงสินเชื่อสีเขียวและสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืน นักลงทุน หน่วยงานกำกับดูแล และสถาบันจัดอันดับ จะเรียกร้องตัวชี้วัดผลกระทบที่เข้มงวดมากขึ้น โดยมุ่งเน้นผลลัพธ์ที่วัดได้จริงมากกว่าการติดฉลาก อุตสาหกรรมอย่างสนามบินและท่าเรือจะต้องปรับข้อมูล ESG ให้สอดคล้องกับมาตรฐาน เช่น ICMA และ EU Taxonomy เปิดโอกาสทางการเงินสำหรับการลงทุนพลังงานหมุนเวียนและการลดคาร์บอน
ทั้งนี้ การเข้าถึงเงินทุนยั่งยืนขึ้นอยู่กับความสามารถขององค์กรในการแสดงผลการดำเนินงาน ESG ที่ชัดเจนและมีศักยภาพพัฒนาเพิ่มเติม
การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมได้รับความสนใจมากขึ้น
การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์กำลังก้าวจากการวางแผนสู่การลงมือปฏิบัติจริง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากภาครัฐ ชุมชน และภาคธุรกิจ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและครอบคลุม กองทุน Just Transition Fund และ Social Climate Fund ของสหภาพยุโรป กำลังสนับสนุนการฝึกทักษะแรงงานและการกระจายอุตสาหกรรมในพื้นที่เปราะบาง ขณะที่ในระดับโลก โครงการของสหประชาชาติและ JETPs ในแอฟริกาใต้และอินโดนีเซีย กำลังก้าวสู่การดำเนินงานจริง เชื่อมโยงการเงินด้านสภาพภูมิอากาศกับความเป็นธรรมทางสังคม
มุ่งเน้นความยืดหยุ่นและการปรับตัวของธุรกิจ
ความยืดหยุ่นของธุรกิจเป็นหนึ่งในเทรนด์ ESG ที่สำคัญที่สุดในปี 2026 กลยุทธ์ ESG ต้องถูกทบทวนเพื่อสะท้อนความสามารถในการฟื้นตัวและปรับตัวต่อความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศ ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน และความขัดแย้งระดับโลก ธุรกิจจำเป็นต้องเตรียมการรับมือความเสี่ยงทางกายภาพจากสภาพภูมิอากาศ ทดสอบสถานการณ์ต่าง ๆ และบูรณาการเข้ากับการวางแผนทางการเงินและการดำเนินงาน รายงาน ESG ควรสะท้อนทั้งการลดการปล่อยและการวางแผนระยะยาวเพื่อความยั่งยืน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง