net-zero

8 เทรนด์ ESG ปี 2026 บีบธุรกิจรอบด้าน จาก SME ถึงตลาดทุนโลก

In Brief

  • ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) จะเผชิญแรงกดดันด้านความยั่งยืนเพิ่มขึ้น โดยต้องมีนโยบายและข้อมูลที่ตรวจสอบได้เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในห่วงโซ่อุปทาน
  • การรายงาน ESG จะเข้มงวดและซับซ้อนขึ้น ครอบคลุมถึงความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมีการนำเทคโนโลยี AI มาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์ข้อมูลและป้องกันการฟอกเขียว (greenwashing)
  • ความต้องการข้อมูลด้านความยั่งยืนที่ผ่านการตรวจสอบและรับรองจะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ยั่งยืน
  • กลยุทธ์ ESG จะถูกผนวกเข้ากับการสร้างความยืดหยุ่นของธุรกิจ เพื่อรับมือกับความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ ห่วงโซ่อุปทาน และความขัดแย้งระดับโลก

แนวโน้มด้านความยั่งยืนและ ESG หรือหลักการประเมินความยั่งยืนของธุรกิจ Environment (สิ่งแวดล้อม), Social (สังคม) และ Governance (ธรรมาภิบาล) สำหรับปี 2026 กำลังเริ่มกำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจอย่างชัดเจน หากจะใช้คำอธิบายเส้นทางที่ผ่านมา คงหนีไม่พ้นคำว่า “ความปั่นป่วน” และ “ความแตกแยก” ยุโรป เอเชีย และสหรัฐอเมริกา ต่างเผชิญความตึงเครียดทางการเมืองและกฎระเบียบ ซึ่งส่งผลต่อการลงทุนด้านความยั่งยืน และก่อให้เกิดคำถามว่า ESG กำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางใดกันแน่

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความไม่แน่นอนและกระแสต่อต้านในหลายเศรษฐกิจ นักลงทุนระดับโลกยังไม่ได้ลดความสำคัญของผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนลง สิ่งนี้เป็นสัญญาณเตือนต่อภาคธุรกิจ โดยเฉพาะบริษัทที่ดำเนินงานในตลาดโลกว่าจำเป็นต้องทำให้การดำเนินงานและกลยุทธ์มีความยืดหยุ่น พร้อมปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านสภาพภูมิอากาศ ห่วงโซ่อุปทาน เทคโนโลยี และกฎระเบียบ หากต้องการรักษาความสามารถในการแข่งขันและความยั่งยืนในระยะยาว

8 เทรนด์ ESG ที่มีนัยสำคัญมากที่สุดตั้งแต่ปี 2026 

แรงกดดันด้าน ESG ต่อธุรกิจ SME เพิ่มสูงขึ้น

หนึ่งในเทรนด์ ESG ที่โดดเด่นของปี 2026 คือแรงกดดันด้านความยั่งยืนที่เพิ่มขึ้นต่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งมีจำนวนมากในสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ และมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจ ทั้งด้านการจ้างงานและนวัตกรรม การนำแนวปฏิบัติด้านความยั่งยืนมาใช้ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นเรื่องใหม่หรือจำกัดอยู่เฉพาะบางองค์กรอีกต่อไป ความคาดหวังจากลูกค้าและนักลงทุนได้ผลักดันให้ความรู้ด้านความยั่งยืนกลายเป็นหัวใจของลำดับความสำคัญ

ปี 2026 ธุรกิจ SME จะต้องสามารถแสดงหลักฐานสนับสนุนการดำเนินงานด้านความยั่งยืน นอกเหนือจากข้อกำหนดภาคบังคับ สำหรับบริษัทที่ต้องการขยับขึ้นไปอยู่ในระดับบนของห่วงโซ่อุปทาน การจัดทำนโยบายที่ชัดเจนและข้อมูลที่ตรวจสอบย้อนกลับได้จะเป็นสิ่งจำเป็น กระบวนการตรวจสอบสถานะ (due diligence) จะไม่ใช่เพียงการกรอกแบบสอบถามจัดซื้อจัดจ้างอีกต่อไป

แต่จะเป็นกลไกที่สะท้อนความพร้อมและความยืดหยุ่นของ SME ในการรับมือความเสี่ยงและคว้าโอกาส จากข้อมูลของ EcoVadis (2025) ระบุว่า 72% ของ SME ยังไม่มีแผนลดการปล่อยคาร์บอนที่ชัดเจน ซึ่งสะท้อนว่าหนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล

อย่างไรก็ตาม SME ที่เพิ่งเริ่มจัดทำรายงานด้านความยั่งยืน ไม่จำเป็นต้องจัดทำเอกสารที่ยาวและเป็นทางการเกินไป หากมีจรรยาบรรณ (Code of Conduct) นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ความยั่งยืน และสิทธิมนุษยชนที่ชัดเจน พร้อมระบุตัวชี้วัดผลการดำเนินงานและความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ก็ถือเป็นแนวปฏิบัติที่เหมาะสมแล้ว

บทบาทของ AI ใน ESG เพิ่มความสำคัญ

เทรนด์ ESG ปี 2026 ไม่อาจละเลยบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้ AI มีบทบาทอย่างลึกซึ้งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาและยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยบทบาทใน ESG จะยิ่งสำคัญมากขึ้น เนื่องจากข้อมูล ESG มีความซับซ้อน ทำให้หน่วยงานกำกับดูแล ลูกค้า และนักลงทุนต้องการข้อมูลที่ละเอียดลึกขึ้น เครื่องมือ AI จึงช่วยสนับสนุนการวิเคราะห์และการจัดทำรายงานให้มีประสิทธิภาพ ลดความซับซ้อน เร่งกระบวนการยืนยันข้อมูล และช่วยป้องกันความเสี่ยงจากการกล่าวอ้างเกินจริงหรือ greenwashing

บริษัทที่นำ AI มาใช้สนับสนุนการจัดทำรายงาน ESG จะช่วยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถประเมินความสอดคล้องระหว่างความคาดหวังและคุณค่าที่องค์กรสร้างได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ AI ยังมีศักยภาพสูงในการป้องกันผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีบทบาทด้านกำกับดูแลจำเป็นต้องทำความเข้าใจศักยภาพและข้อจำกัด รวมถึงอคติที่อาจเกิดขึ้นจาก AI อย่างรอบด้าน

การรายงานด้านธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ

การรายงานด้านธรรมชาติ (nature-related reporting) เป็นอีกหนึ่งเทรนด์สำคัญของปี 2026 บริษัทจะถูกคาดหวังให้วัดและรายงานผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพและทุนทางธรรมชาติมากขึ้น แรงกดดันหลัก เช่น การเปลี่ยนแปลงถิ่นที่อยู่อาศัย การใช้ทรัพยากรเกินขีดจำกัด และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังคงทวีความรุนแรง ทำให้ช่องว่างระหว่างเป้าหมายกับการลงมือปฏิบัติจริงต้องถูกลดลงอย่างเร่งด่วน ตามกรอบ Kunming–Montreal Global Biodiversity Framework

กฎระเบียบจะยังคงถูกผลักดันอย่างต่อเนื่อง เช่น กฎหมาย Nature Restoration Law ของสหภาพยุโรป ที่กำหนดให้ประเทศสมาชิกต้องจัดทำแผนฟื้นฟูระดับชาติภายในปี 2026 ขณะเดียวกัน สนธิสัญญาทะเลหลวง (High Seas Treaty) ซึ่งเป็นกรอบกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อจัดตั้งพื้นที่คุ้มครองในทะเลหลวง จะมีผลบังคับใช้ตามกฎหมายในเดือนมกราคม 2026

TNFD (Taskforce on Nature-related Financial Disclosures) จะมีบทบาทในการผลักดันให้องค์กรบริหารและลดความเสี่ยงจากการเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าจะช่วยสนับสนุนการติดตามและการตัดสินใจ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถวัดและรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้แม่นยำยิ่งขึ้น

การต่อสู้กับ greenwashing ทวีความเข้มข้น

greenwashing ได้รับการยอมรับมาอย่างยาวนานว่าเป็นปัญหาร้ายแรง แม้ทิศทางกฎระเบียบจะยังไม่ชัดเจน แต่หน่วยงานกำกับดูแลยังคงเดินหน้าจัดทำกรอบที่ชัดเจนเพื่อลดความคลุมเครือของการกล่าวอ้างด้านความยั่งยืน ผู้เชี่ยวชาญควรเตรียมรับสองสถานการณ์ คือ การที่ EU Green Claims Directive อาจได้รับการสรุปในปี 2026 พร้อมการบังคับใช้ในภายหลัง หรือหากไม่ผ่าน กฎ EmpCo (Empowering Consumers for the Green Transition Directive) จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 27 กันยายน 2026

แม้ GCD จะเสนอการตรวจสอบที่เข้มงวดกว่า แต่ธุรกิจจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมตั้งแต่วันนี้ โดยทำให้การกล่าวอ้างมีความโปร่งใสและมีหลักฐานรองรับ ธุรกิจที่มุ่งเน้นแนวปฏิบัติสีเขียวที่แท้จริง ไม่เพียงพร้อมต่อกฎที่อาจเข้มงวดขึ้น แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นระยะยาวให้ลูกค้าและนักลงทุน เพราะเมื่อผู้บริโภครับรู้ถึงการบิดเบือน ความเสียหายด้านการเงินและชื่อเสียงจะยากต่อการฟื้นฟู

ความต้องการการรับรองข้อมูลเพิ่มสูงขึ้น

การรับรองข้อมูล (assurance) เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ ESG สำคัญในปี 2026 แม้กฎระเบียบในยุโรปและสหรัฐฯ จะยังไม่เสถียร แต่หลายองค์กรต้องเผชิญกับการเปิดเผยข้อมูลภาคบังคับ และเข้าสู่รอบแรกของการรับรองข้อมูลด้านความยั่งยืน ความต้องการข้อมูลที่ผ่านการรับรองจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในองค์กรขนาดใหญ่ ที่ต้องเผชิญการตรวจสอบเชิงลึกทั้งขอบเขต วิธีการ และมาตรฐาน

แม้การรับรองจะมีต้นทุนและข้อจำกัดด้านทรัพยากร แต่มีบทบาทสำคัญต่อการเข้าถึงแหล่งทุน ความเชื่อมั่นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การบริหารความเสี่ยง และชื่อเสียงขององค์กร สำหรับ SME แม้ยังไม่ถูกบังคับตามกฎหมาย แต่แรงกดดันจะเริ่มชัดเจนในปี 2026 ทำให้ต้องเริ่มจัดเก็บข้อมูลที่เชื่อถือได้และการรับรองในห่วงโซ่คุณค่า เพื่อหลีกเลี่ยงการกล่าวอ้างด้านความยั่งยืนที่อ่อนแอ

เครื่องมือการเงินยั่งยืนพัฒนาและเติบโต

2026 จะเป็นปีแห่งการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของการเงินยั่งยืน รวมถึงสินเชื่อสีเขียวและสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืน นักลงทุน หน่วยงานกำกับดูแล และสถาบันจัดอันดับ จะเรียกร้องตัวชี้วัดผลกระทบที่เข้มงวดมากขึ้น โดยมุ่งเน้นผลลัพธ์ที่วัดได้จริงมากกว่าการติดฉลาก อุตสาหกรรมอย่างสนามบินและท่าเรือจะต้องปรับข้อมูล ESG ให้สอดคล้องกับมาตรฐาน เช่น ICMA และ EU Taxonomy เปิดโอกาสทางการเงินสำหรับการลงทุนพลังงานหมุนเวียนและการลดคาร์บอน

ทั้งนี้ การเข้าถึงเงินทุนยั่งยืนขึ้นอยู่กับความสามารถขององค์กรในการแสดงผลการดำเนินงาน ESG ที่ชัดเจนและมีศักยภาพพัฒนาเพิ่มเติม

การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมได้รับความสนใจมากขึ้น

การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์กำลังก้าวจากการวางแผนสู่การลงมือปฏิบัติจริง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากภาครัฐ ชุมชน และภาคธุรกิจ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและครอบคลุม กองทุน Just Transition Fund และ Social Climate Fund ของสหภาพยุโรป กำลังสนับสนุนการฝึกทักษะแรงงานและการกระจายอุตสาหกรรมในพื้นที่เปราะบาง ขณะที่ในระดับโลก โครงการของสหประชาชาติและ JETPs ในแอฟริกาใต้และอินโดนีเซีย กำลังก้าวสู่การดำเนินงานจริง เชื่อมโยงการเงินด้านสภาพภูมิอากาศกับความเป็นธรรมทางสังคม

มุ่งเน้นความยืดหยุ่นและการปรับตัวของธุรกิจ

ความยืดหยุ่นของธุรกิจเป็นหนึ่งในเทรนด์ ESG ที่สำคัญที่สุดในปี 2026 กลยุทธ์ ESG ต้องถูกทบทวนเพื่อสะท้อนความสามารถในการฟื้นตัวและปรับตัวต่อความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศ ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน และความขัดแย้งระดับโลก ธุรกิจจำเป็นต้องเตรียมการรับมือความเสี่ยงทางกายภาพจากสภาพภูมิอากาศ ทดสอบสถานการณ์ต่าง ๆ และบูรณาการเข้ากับการวางแผนทางการเงินและการดำเนินงาน รายงาน ESG ควรสะท้อนทั้งการลดการปล่อยและการวางแผนระยะยาวเพื่อความยั่งยืน