รู้จัก “เจ เอกชัย สุขุมวิทยา” ทายาทแสนล้าน “JMART”

“เจ เอกชัย สุขุมวิทยา” ลูกชายคนเดียวของ “อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา” เปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรก หลังกลุ่ม”JMART” แถลงข่าววิสัยทัศน์ปี 2022 เมื่อเร็วๆ นี้

ไม่บ่อยครั้งนักที่ “เจ เอกชัย สุขุมวิทยา” มาร่วมงานแถลงข่าวกับผู้พ่อ “อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มเจมาร์ท ที่มีอาณาจักรธุรกิจกว่าแสนล้านบาท มีบริษัทฯระดมทุนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ อันได้แก่

• บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) มีสินทรัพย์ ณ วันที่ 31/12/2564 อยู่ที่ 45,278.28 ล้านบาท
•  บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT มีสินทรัพย์รวม ณ วันที่ 31/2/2564 อยู่ที่ 28,036.23 ล้านบาท
• บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER มีสินทรัพย์รวม ณ วันที่  31/2/2564 อยู่ที่ 24,200.99 ล้านบาท 
• บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ J มีสินทรัพย์รวม ณ วันที่ 31/2/2564 อยู่ที่ 3,794.58 ล้านบาท

ล่าสุดกลุ่ม JMART ดึงกลุ่มบีทีเอสเข้ามาร่วมทุน และ ยังได้ KB Kookmin Card Co., Ltd (KB) จากเกาหลีใต้  เข้ามาร่วมลงทุนใน บริษัท เจ ฟินเทค จำกัด อีกด้วย

นอกจากนี้ กลุ่ม JMART มีบริษัทที่อยู่ภายใต้โครงสร้าง อีก 3 บริษัท

• บริษัท เจ อินชัวรันซ์ โบรกเกอร์ จำกัด
• บริษัท บีนส์แอนด์บราวน์ จำกัด
• บริษัท เคบี เจ แคปปิตอล จำกัด

อย่างไรก็ตาม “ฐานเศรษฐกิจ” ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ “เจ เอกชัย สุขุมวิทยา” รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน)  บนอาณาจักรกังสดาลรีสอร์ท กว่า 700 ไร่ ณ อำเภอแม่ปิง จังหวัดเชียงใหม่  ปัจจุบัน “เขา” ถือหุ้น JMART  จำนวน 116,146,518 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 8.32%

ด้วยวัยเพียง 33 ปี  “เจ เอกชัย” ถูกมอบหมายให้รับผิดชอบ ร้านกาแฟ “คาซ่า ลาแปง” ในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ บริหาร บริษัท บีนส์ แอนด์ บราวน์  เกิดจากการร่วมทุนระหว่าง บมจ. เจเอเอส แอสเซ็ท เข้าไปถือหุ้น

“เจ เอกชัย” บอกว่า ผลของโควิด -19 ต้องปิดบางสาขาบางแห่ง เลิกทำครัว และ ขนม จำหน่าย พร้อมทั้งปรับกลยุทธ์ใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการคุมต้นทุน ต้องทำโปรโมชั่น เพิ่มกิจกรรมทางด้านการตลาด ล่าสุด การทำเดลิเวอรี่ เข้ามาสนับสนุนเพื่อกระตุ้นยอดขาย

“สาขาที่ขายดีที่สุด คือ สาขาราชเทวี มีนักท่องเที่ยว มีโบสถ์ มีโรงเรียนสอนติวเตอร์ และ ออฟฟิศ อยู่ข้างบน พอพิษโควิดมาเท่านั้นแหละทุกอย่างหายหมด ต้องปรับตัวให้อยู่รอด ประหยัดต้นทุน ปัจจุบันสถานการณ์เริ่มกลับมาดีขึ้นตามลำดับ”

หลังจากนี้ “คาซ่า ลาแปง” ขยายสาขาไปกับร้าน “JMART” เพื่อประหยัดต้นทุนในการบริหารจัดการ  ปัจจุบัน  “คาซ่า ลาแปง” มีร้านกาแฟจำนวนทั้งสิ้น 18 บริษัทฯ มีร้านภายใต้การบริหารทั้งสิ้น 18 สาขาแบ่งเป็น คาซ่า ลาแปง” (Casa Lapin) ในรูปแบบโมเดลร้านขนาดเล็กไปจนถึงใหญ่ รวม 16 สาขา จำหน่ายกาแฟแล้ว 140 บาท และ "แร็ป คอฟฟี่" (Rabb Coffee) 2 สาขา ราคา 40 บาท เป็นต้น

ภายใน 2-3 ปีนับจากนี้  “คาซ่า ลาแปง” คุ้มทุน ปีที่ผ่านมามีรายได้ 7 ล้านกว่าบาท ส่วนงบลงทุนอยู่ที่ 2 ล้านบาทต่อสาขา  กลยุทธ์หลัก คือ พยายามหาไลน์สินค้าขยายให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่ม  สำหรับกลุ่มลูกค้าของ “คาซ่า ลาแปง” แบ่งเป็นสองกลุ่มหลัก

• คือ ย่านสุขุมวิท เป็นกลุ่มวัยรุ่น
• แถวชานเมือง อาทิ งามวงศ์วาน รามอินทรา บางนา เป็นกลุ่มแฟมิลี่

“จุดเด่นของกาแฟ คาซ่า ลาแปง เน้นคุณภาพ ใช้กาแฟเกรดที่ดีกว่า ถ้าชอบดื่มกาแฟเข้มไหม้ต้องไป “สตาร์บัคส์” แต่ของ “คาซ่า ลาแปง” กลิ่นกาแฟมีความลึกหวาน ความเข้ม มีองค์ประกอบเยอะกว่า”

“เจ เอกชัย” บอกอีกว่า โลกกาแฟ คล้ายๆ กับโลกของไวน์ เนื่องจากมีคนเปิดร้านกาแฟเพิ่มขึ้นตามลำดับ เพราะฉนั้นเมล็ดกาแฟจึงเป็นสิ่งสำคัญ มีการคัดสรรเมล็ดกาแฟมากขึ้น ภูมิอากาศ ความสมบูรณ์ของดิน เป็นต้น เมล็ดกาแฟของ “คาซ่า ลาแปง” มีทั้งนำเข้าและสั่งซื้อจากต่างประเทศ

“เป้าหมายของผมอยากให้ร้านกาแฟเป็นเหมือน Blue Bottle Coffee ร้านกาแฟอินดี้ที่ต่างชาติมาเที่ยวเมืองไทยนึกถึงกาแฟนึกถึง “คาซา ลาแปง”

“เจ เอกชัย” ยังบอกอีกว่า ตอนนี้กำลังสรรหาคนมาช่วยบริหารจัดการร้าน “คาซา ลาแปง” แทน แต่ปัญหาตอนนี้ คือ หายากมาก เหตุผลที่ประกาศสรรหาบุคลากร  เพราะต้องการทำงานให้กับกลุ่มเจมาร์ท อย่างเต็มตัว ปัจจุบันคุณพ่อ (อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา) ให้ดูแลรับผิดชอบ “เจ เวนเจอร์ส” อยากเข้าไปบริหารจัดการอย่างเต็มที่

พลิกประวัติ "เจ เอกชัย สุขุมวิทยา"

• จบปริญญาตรีด้านการเงินและ Entrepreneurship ที่ Babson College สหรัฐอเมริกา
• ก่อนต่อปริญญาโทด้านการตลาดที่ Imperial College London ประเทศอังกฤษ
• สถานภาพ: สมรสแล้วกับ “น้ำ-ชญานิษฐ์ สมประกิจ”.