KEY
POINTS
นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดมุมมองต่อการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นกลุ่มธนาคาร (แบงก์) ว่า ล่าสุดกลุ่มธนาคารพาณิชย์ประกาศกําไรเสร็จสิ้นแล้ว พบว่า ส่วนใหญ่ดีกว่าที่ทางฝ่ายคาดการณ์ไว้
หลักๆ กลุ่มธนาคารกําไรดีขึ้นจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่มากกว่าประเมิน แต่อย่างไรก็ดีรายได้จากดอกเบี้ยสุทธิส่วนใหญ่ยังหดตัวเพราะสินเชื่อที่ติดลบ
เป็นผลให้ราคาหุ้นแบงก์ที่ปรับขึ้นต่อเนื่องตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา สะท้อนผลการดำเนินงานที่ออกมาดีกว่าคาด ดังนั้นจึงมองว่าใรระยะถัดไปมีความเป็นไปได้ที่จะมีแรงเทขายทำกำไรระยะสั้น และหุ้นผันผวนสูงขึ้น เนื่องจาก
อย่างไรก็ตาม ในเชิงกุลยทธ์การลงทุนนั้น ทางฝ่ายยังคงมองว่ากลุ่มธนาคารพาณิชย์น่าสนใจเช่นเดิม ด้วยเงินปันผลทีน่าสนใจ และมูลค่าห้นไม่แพง โดยมีหุ้น SCB และ KTB เป็น Top pick
นักวิเคราะห์ บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส ระบุว่า ผลประกอบการไตรมาส 3/2568 ดีกว่าคาดมาก โดยธนาคารทั้ง7 แห่งที่ทางฝ่ายวิเคราะห์มีกำไรสุทธิ รวม 62.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.6% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และเติบโต 10.4% จากไตรมาสก่อน ซึ่งดีกว่าที่ฝ่ายวิเคราะห์และตลาดคาดการณ์ไว้เกือบทั้งหมด และเกือบทุกธนาคารมีกำไรเติบโตทั้งเมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และจากไตรมาสก่อน
รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-NII) เป็นปัจจัยหนุนหลักของการเติบโต โดยรายได้ค่าธรรมเนียม และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-NII) ที่สูงขึ้น โดยเฉพาะกำไรจากตีมูลค่ายุติธรรมเงินลงทุนผ่านงบกำไรขาดทุน (FVTPL) และกำไรจากการลงทุน ซึ่งได้รับแรงหนุนจากภาวะตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรที่เอื้ออำนวยในไตรมาส 3/2568
ด้านธุรกิจปล่อยสินเชื่อยังคงซบเซา โดยสินเชื่อธนาคารยังหดตัวในไตรมาส 3/2568 และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ลดลงซึ่งเป็นไปตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาลง รวมถึงโครงการปรับโครงสร้างหนี้ ส่วนการตั้งสำรอง ECL ยังอยู่ในระดับสูงเพื่อรองรับความไม่แน่นอนในอนาคต
สำหรับไตรมาส 4/2568 คาดกำไรสุทธิจะอ่อนลงจากไตรมาสก่อน จากรายได้ที่ลดลงและค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น โดยมองว่ากำไรสุทธิไตรมาส 4/2568 จะลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2568 เนื่องจากกำไรจากFVTPL และกำไรจากการลงทุนมีแนวโน้มลดลง เพราะภาวะตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรตั้งแต่ต้นไตรมาส 4/2568 ดูไม่เอื้ออำนวยเท่ากับไตรมาสก่อน
คาดว่ารายได้ค่าธรรมเนียม จะยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากธุรกิจ wealth management ด้านสินเชื่อมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นตามฤดูกาล แต่ NIM มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ค่าใช้จ่ายการดำเนินงานในไตรมาส 4/2568 จะสูงขึ้น ซึ่งเป็นปกติของทุกปี
นอกจากนี้ เชื่อว่าต้นทุนเครดิตยังอยู่ในระดับสูงต่อ แม้ ว่า NPL ratio ยังอยู่ในระดับบริหารจัดการได้ แต่เราคาดว่าต้นทุนเครดิต (credit cost) จะยังอยู่ในระดับสูง แม้จะลดลงจากปีก่อนก็ตาม
จากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น ส่งผลให้ฝ่ายวิเคราะห์คงให้น้ำหนักลงทุนกลุ่มธนาคารพาณิชย์เป็น Neutral โดยให้ KKP และ SCB เป็น Top Picks - ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ธนาคารส่วนใหญ่ยังคงเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ
ขณะที่ภาคธุรกิจเอกชนยังลังเลที่จะลงทุนและหันไปชำระหนี้แทน ดังนั้นสินเชื่อในปี 2568 จะยังหดตัว และ NIM ลดลง ทำให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NII) อ่อนลง แต่ คาดว่ากำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารโดยรวมจะเติบโต 4.0% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนหลักจากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-NII) อย่างไรก็ดี TISCO และTTB จะมีกำไรลดลงจากต้นทุนเครดิตที่สูงขึ้นและ NIM ที่ลดลง
อย่างไรก็ตาม กลุ่มธนาคารยังได้รับการสนับสนุนจากคุณภาพสินทรัพย์ที่บริหารจัดการได้ อัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่สูง และ valuation น่าสนใจ ทั้งนี้ KKP และ SCB เป็นหุ้น Top Picks เนื่องจากมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งคุณภาพสินทรัพย์อยู่ในระดับดี และให้เงินปันผลที่น่าดึงดูดใจ