หลังจากบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.) เปิดตัวโครงการ “กระบะพี่มีคลังค้ำ” เมื่อเดือนเมษายน 2568 ด้วยวงเงินค้ำประกันกว่า 5,000 ล้านบาท โดยร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์ 7 แห่ง เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสามารถเป็นเจ้าของรถกระบะ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงยานพาหนะ แต่คือ ‘เครื่องมือทำมาหากิน’ ที่สำคัญในการประกอบธุรกิจ
ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนส่ง, ก่อสร้าง, เกษตรกรรม หรือแม้แต่ร้านค้าเคลื่อนที่ การมีรถกระบะเปรียบเสมือนการติดอาวุธให้ SME สามารถขยายกิจการและสร้างรายได้ได้อย่างเต็มศักยภาพ
อย่างไรก็ดี บสย. ตระหนักดีว่า ผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มอาชีพอิสระ ฟรีแลนซ์ หรือผู้ค้าขายที่ไม่มีเอกสารแสดงรายได้ที่ชัดเจน มักประสบปัญหาในการขอสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ที่มีเกณฑ์การพิจารณาที่เข้มงวด
บสย.จึงเดินหน้าเปิดให้ผู้ประกอบการที่มิใช่สถาบันการเงินหรือ นอนแบงก์ กลุ่มลิสซิ่งและนาโนไฟแนนซ์ เข้าร่วมค้ำประกันสินเชื่อโครงการ “ กระบะพี่มีคลังค้ำ”
เหตุผลสำคัญคือ กลุ่มนอนแบงก์มีความยืดหยุ่นในการพิจารณาสินเชื่อสูงกว่า มีความเข้าใจในธรรมชาติของธุรกิจรายย่อย และมีเครือข่ายที่สามารถเจาะเข้าถึงชุมชนและกลุ่มลูกค้าในระดับฐานรากได้ดีกว่า
การผนึกกำลังครั้งนี้จึงเป็นการใช้จุดแข็งของแต่ละฝ่ายเพื่อสร้างระบบนิเวศทางการเงินที่เอื้อประโยชน์ต่อ SME มากขึ้น โดยธนาคารพาณิชย์ยังคงเป็นกลไกหลัก ขณะที่นอนแบงก์จะเข้ามาเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญเพื่อเติมเต็มช่องว่างทางการเงิน
เพื่อรักษามาตรฐานและสร้างความเชื่อมั่น บสย. ได้กำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกนอนแบงก์ที่จะเข้าร่วมโครงการไว้อย่างรัดกุม สะท้อนถึงความตั้งใจในการสร้างความร่วมมือที่ยั่งยืนและมีคุณภาพ โดยแบ่งเกณฑ์ออกเป็น 2 กลุ่มอย่างชัดเจน
กลุ่มผู้ประกอบการนาโนไฟแนนซ์: ถูกวางตำแหน่งให้เป็นกลไกสำคัญในการเข้าถึงผู้ประกอบการรายย่อยที่สุด จึงมีข้อกำหนดที่มุ่งเน้นความมั่นคงทางการเงินในระดับที่เหมาะสมคือ
กลุ่มผู้ประกอบการลิสซิ่ง: ด้วยขนาดธุรกิจและความเชี่ยวชาญด้านสินเชื่อยานยนต์โดยตรง จึงถูกกำหนดเกณฑ์ที่สูงขึ้นเพื่อรองรับการปล่อยสินเชื่อในวงกว้าง
หลักเกณฑ์เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงข้อกำหนด แต่คือเครื่องการันตีว่า พันธมิตรนอนแบงก์ของ บสย. มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีธรรมาภิบาล และมีความสามารถในการบริหารความเสี่ยง ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของโครงการในภาพรวม และสร้างความมั่นใจให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ผลกระทบเชิงบวกจากการขยายนโยบายครั้งนี้คาดว่าจะเกิดขึ้นในหลายมิติ
ประการแรก คือ การกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากโดยตรง เมื่อผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเข้าถึงสินเชื่อเพื่อซื้อรถกระบะได้ง่ายขึ้น จะเกิดการขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทั้งการจ้างงาน การขนส่ง และการกระจายสินค้า ซึ่งจะช่วยให้เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างมีนัยสำคัญ
ประการที่สอง คือ การส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะตลาดรถกระบะเพื่อการพาณิชย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของประเทศ และประการสุดท้าย คือ การยกระดับการเข้าถึงบริการทางการเงิน (Financial Inclusion) ให้แก่กลุ่มคนที่เคยถูกมองข้ามจากระบบการเงินในกระแสหลัก
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,137 วันที่ 5 - 8 ตุลาคม พ.ศ. 2568