KEY
POINTS
ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า การสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดทุนไทยในระยะยาวนั้น มองว่ายังเป็นเรื่องที่ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังให้ความสำคัญอย่างมาก และพยายามผลักดันให้เดินหน้าอย่างต่อเนื่อง เพราะมองว่าจำเป็นต้องเริ่มจากการบังคับใช้กฎหมายให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
โดยทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ,สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.),สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.),กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI), ตำรวจและอัยการควรตระหนักว่าคดีทุจริตในตลาดทุนส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อระบบเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศ
ปัจจุบันกระบวนการของ ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ ดำเนินได้อย่างรวดเร็วพอสมควร แต่ขั้นตอนในชั้นสอบสวนของตำรวจยังถือเป็นจุดอ่อนที่ทำให้คดีล่าช้า ซึ่งหากมีการแก้ไขกฎหมายให้ ก.ล.ต.มีอำนาจสอบสวนและฟ้องร้องในบางกรณีได้โดยตรง จะช่วยลดระยะเวลาได้มากจากเดิมที่ใช้เวลาเฉลี่ย 2 - 3 ปี เหลือเพียง 12 - 18 เดือนหรือ 2 ปีอย่างมาก ซึ่งจะทำให้ผู้กระทำผิดเกรงกลัวมากขึ้น
รวมถึงการใช้อำนาจเบื้องต้นของ ปปง.และ DSI ในการเข้ามาร่วมมือในขั้นตอนการยึดและอายัดทรัพย์ตั้งแต่ต้น เพื่อเพิ่มความรวดเร็วและลดความเสียหายทางการเงิน ซึ่งถือเป็นการเสริมกลไกการบังคับใช้กฎหมายให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น และช่วยยับยั้งการกระทำซ้ำได้อย่างมีนัยสำคัญ
ที่ผ่านมาเราพยายามตัดวงจรการตรวจสอบข้อมูลซ้ำซ้อนลง จากเดิมที่เราเก็บสถิติและข้อมูลในการกระทำผิด พอถึงมือ ก.ล.ต. ก็ต้องไปนับหนึ่งใหม่ ซึ่งปัจจุบัน ก.ล.ต. ยอมใช้ข้อมูลของ ตลท. ที่มีการส่งมอบให้แล้ว ก็ตัดตอนเวลาไปได้พอสมควร
ส่วนความเข้าใจของเจ้าหน้าที่กับกฎหมายตลาดทุนนั้น มองว่าตลาดหลักทรัพย์ฯจะเริ่มสร้างสถาบันอบรมให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเพื่อเอาผู้บริหารระดับสูงมาเรียนและให้ความรู้ รวมถึงให้ความสำคัญว่าการบังคับใช้กฎหมายตลาดทุนต้องรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เพราะจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งหากเราสร้างองค์ความรู้ได้หรือตำราขึ้นมาก็จะสร้างความแข็มแข็งหรือความเข้าใจให้กับตลาดทุนไทย
สำหรับการปรับปรุงกฎหมายตลาดทุนนั้น คาดว่าภายในสัปดาห์นี้การจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาปรับปรุงกฎหมาย โดยมี ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นผู้รับผิดชอบและจะมีการแต่งตั้งเป็นประธาน ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 4 เดือนข้างหน้า
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีการหารือกับทางกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังแล้ว ซึ่งทั้งสองหน่วยงานก็ยินดีที่จะทำ รวมถึงกระทรวงมหาดไทยที่มีกฎหมายหลายฉบับ ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีก็ยินดีที่จะปลดล็อกให้และจะไปคุยกับที่ประชุม ครม. สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลตั้งใจทำงานเรื่องนี้จริง
กฎหมายไทยอันที่จริงดีอยู่แล้ว แต่กระบวนการบังคับใช้กฎหมายยังต้องปรับปรุง เพราะเมื่อข้อมูลพอไปถึงมือตำรวจแล้วสุดท้ายก็ต้องมาสอบสวนใหม่ หากว่าเราสามารถสั่งฟ้องเองได้ กระบวนการทุกอย่างมันจะเร็วมากขึ้นกว่านี้ มองว่าการฉ่อโกงในตลาดทุนไทยไม่มีทางหายไปหรอก แต่มันจะครอบคลุมมากขึ้น
นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เตรียมปรับปรุงหลักเกณฑ์ โดยออกกฎว่า ถ้าผู้สอบบัญชีพบเหตุการณ์ที่อาจกระทบต่อระบบการควบคุมภายในที่สำคัญ และรายงานกรรมการตรวจสอบของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ให้ทราบแล้ว ให้ บจ. เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวทันทีด้วย
ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ระหว่างเปิดรับฟังความคิดเห็นในหัวข้อ "การทบทวนเกณฑ์กำกับบริษัทจดทะเบียน และการเปิดเผยข้อมูลของทรัสต์ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน" ถึงเดือนพฤศจิกายน 2568 นี้
ในเรื่องของการสร้างความน่าเชื่อถือในตลาดหุ้นไทยนั้น ปัจจุบันยังคงมีการดำเนินการต่อ เพียงแต่กรอบเวลาคงไม่ได้ในรัฐบาลชุดนี้ มันสั้นเกินไป 4 เดือนคงไม่ทัน เราเสนอเรื่องการสร้างความเชื่อมั่นไปแล้ว รัฐบาลรับทราบและให้ความร่วมมืออย่าเต็มที่ ก็พยายามผลักดันกันถึงที่สุด
ด้านความคืบหน้าโครงการ TISA เท่าที่ทราบ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เห็นด้วยกับหลักการณ์ที่ตลาดทุนเสนอไป แต่ว่าอาจต้องทำรายละเอียดบางส่วนและทำเรื่องการหักค่าลดหย่อนต่างๆ
รวมถึงโครงสร้างการเกษียณอายุของประชาชนด้วย ที่คาดว่าน่าจะเห็นผลบังคับใช้ได้ภายในต้นปี 69 เป็นต้นไป อย่างไรก็ดี มองว่าหากมีโครงการ TISA จะมีนักลงทุนรายใหม่และเข้าลงทุนได้มากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยให้ตลาดทุนไทยดีขึ้น