สกัดบาทแข็ง! ธปท. สั่งแบงก์ตรวจแหล่งที่มาเงินขาเข้าเข้มทุกดีลใหญ่

29 ธ.ค. 2568 | 06:51 น.
อัปเดตล่าสุด :29 ธ.ค. 2568 | 06:51 น.

ธปท. สกัดบาทแข็ง สั่งแบงก์ตรวจเข้มเงินขาเข้าทุกดีลใหญ่เกิน 2 แสนดอลลาร์ ปิดช่องเงินแปลก–เงินสีเทา กฎใหม่เริ่ม 29 ธ.ค. 68

KEY

POINTS

  • ธปท. ยกระดับความเข้มงวดในการกำกับดูแลธุรกรรมเงินตราต่างประเทศขาเข้า เพื่อลดแรงกดดันต่อค่าเงินบาทและป้องกันการทำธุรกรรมที่ไม่พึงประสงค์
  • กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ต้องตรวจสอบเอกสารแหล่งที่มาของเงินในทุกธุรกรรมที่มีมูลค่าตั้งแต่ 200,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ขึ้นไป
  • เพิ่มความเข้มงวดเป็นพิเศษสำหรับธุรกรรมบางประเภท เช่น การขายทองคำ การขายสินทรัพย์ดิจิทัล และการนำเข้าธนบัตรเงินตราต่างประเทศ โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2568

นางสาวพิมพ์พันธ์ เจริญขวัญ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ได้ยกระดับความเข้มงวดในการกำกับดูแลธุรกรรมเงินตราต่างประเทศขาเข้า เพื่อลดแรงกดดันด้านแข็งค่าของเงินบาท และป้องกันการนำเงินเข้าประเทศที่ไม่ตรงกับแหล่งที่มาที่แจ้งไว้ หรือการทำธุรกรรมที่ไม่พึงประสงค์

โดยปรับหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวกับการตรวจสอบเอกสารหลักฐานการทำธุรกรรมขายเงินตราต่างประเทศของผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศ (Resident) ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ปัจจุบัน จำนวนธุรกรรมขายดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อซื้อเงินบาทของ Resident ที่มีมูลค่าสูงกว่า 200,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อรายการ คิดเป็นร้อยละ 15 ของจำนวนธุรกรรมขาเข้าของ Resident ทั้งหมด

แต่มูลค่าของธุรกรรมดังกล่าวกลับมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 85 ซึ่งเกณฑ์การทำธุรกรรมเงินขาเข้าที่ไม่ได้มีการตรวจเอกสารในปัจจุบัน อาจถูกใช้เป็นช่องทางในการทำธุรกรรมที่ไม่พึงประสงค์ หรือถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำทุจริตทางการเงิน และหากมีปริมาณสูงอาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินได้

นางสาวพิมพ์พันธ์ เจริญขวัญ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

โดยการปรับเกณฑ์ข้างต้นจะครอบคลุมกรณีต่างๆ ดังนี้

1) กรณีการขายเงินตราต่างประเทศเพื่อรับเงินบาท และการโอนเงินตราต่างประเทศเข้าบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ (Foreign Currency Deposit) สำหรับธุรกรรมที่มีมูลค่าตั้งแต่ 200,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเทียบเท่าขึ้นไป

ธนาคารพาณิชย์ต้องเรียกตรวจสอบเอกสารให้แหล่งที่มาของเงินตราต่างประเทศตรงตามที่ลูกค้าแจ้งไว้เป็นรายธุรกรรมทุกครั้ง ยกเว้นธุรกรรมปกติของลูกค้าธุรกิจที่ธนาคารพาณิชย์รู้จักดี มีการทำ Know Your Business (KYB) และ Customer Due Diligence (CDD) อย่างต่อเนื่อง 

อย่างไรก็ดี ธนาคารพาณิชย์ต้องเรียกเอกสารประกอบเป็นรายธุรกรรมสำหรับทุกธุรกรรมที่มีมูลค่าตั้งแต่ 200,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเทียบเท่าขึ้นไป โดยไม่มีข้อยกเว้น ในกรณีที่เงินตราต่างประเทศมีแหล่งที่มาดังต่อไปนี้ 

  1. รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ให้กับต่างชาติ
  2. รายได้จากการขายสินทรัพย์ดิจิทัล
  3. เงินทุนจากต่างประเทศอื่นๆ ที่ไม่ใช่เงินลงทุนในเครือ/สาขา เงินลงทุนในหลักทรัพย์ เงินกู้/ให้กู้ และเงินส่วนต่างธุรกรรมอนุพันธ์
  4. เงินตราต่างประเทศที่ได้จากแหล่งที่มาอื่นๆ ที่ไม่ใช่การรับค่าสินค้า บริการ รายได้ และเงินโอนและบริจาค เงินลงทุน ธนบัตรและเงินฝาก

2) กรณีการขายและรับโอนเงินตราต่างประเทศที่มาจากการขายทองคำ ธนาคารพาณิชย์ต้องตรวจสอบเอกสารการขายทองคำในต่างประเทศ รวมทั้งเอกสารเรียกเก็บเงินและใบขนทองคำของลูกค้าในทุกธุรกรรม 

3) กรณีการขายธนบัตรเงินตราต่างประเทศ ธนาคารพาณิชย์ต้องตรวจสอบเอกสารการนำเข้าเงินตราต่างประเทศของลูกค้าที่นำเข้าธนบัตรที่มีมูลค่ารวมตั้งแต่ 15,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเทียบเท่าขึ้นไป

ทั้งนี้ การปรับหลักเกณฑ์ดังกล่าวจะส่งผลให้การตรวจสอบการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศขาเข้า
มีความเข้มงวดขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป