KEY
POINTS
นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ได้ลงนามในประกาศวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศกับลูกค้า โดยกำหนดให้บุคคลธรรมดา และนิติบุคคล ที่นำเงินตราต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย ต้องรายงานวัตถุประสงค์ และแสดงเอกสารหลักฐาน หากมีการนำเงินเข้าประเทศเกินกว่า 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2568
รายละเอียด ดังนี้ https://www.bot.or.th/content/dam/bot/fipcs/documents/FOG/2568/ThaiPDF/25680264.pdf
“มาตรการนี้ถือเป็นการปรับตัวครั้งสำคัญ จากเดิมที่มุ่งเน้นการตรวจสอบเงินขาออก (Outflow) มาตั้งแต่ปี 2540 เนื่องจากปัจจุบันบริบทเปลี่ยนไปและเงินขาเข้าเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้บาทแข็งค่า อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าธุรกรรมรายย่อย ประชาชนที่ทำงานต่างประเทศ และนำเงินเข้ามา หรือการค้าขายปกติที่มีเอกสารชัดเจนจะไม่ได้รับผลกระทบ”
นายวิทัย กล่าวว่า ปัจจัยที่มีผลต่อค่าเงินบาทในปัจจุบัน ประกอบด้วย 3 เรื่องสำคัญ ได้แก่
“หากเข้าไปซื้อขายดอลลาร์เพื่อวัตถุประสงค์ในการกลับด้านราคา หรือตรึงราคาไม่สามารถทำได้ แต่สามารถลดความผันผวนได้ ที่ผ่านมา ในครึ่งปีหลังเราทำตรงนี้หนักหน่วงมาก ส่วนเรื่องกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายนั้น เรื่องหลัก คือ การนำเงินเข้ามาลงทุนในประเทศไทย แต่เราไม่เห็นสัญญาณของการเข้ามาเกร็งกำไรค่าเงินเหมือนเมื่อก่อน แต่มีการเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาว ซึ่งในภาพรวมเราไม่สามารถปิดกั้น เช่น มาตรการภาษี เพื่อไม่ให้นักลงทุนเข้ามาได้ ซึ่งจะมีผลต่อตลาดทุนทันที ซึ่งการที่เราทำได้ คือ การออกประกาศปรับปรุงหลักเกณฑ์การนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย”
นอกจากนี้ ธปท. ยังมีความสงสัยถึงสถานการณ์การแข็งค่าของเงินบาทว่าเกิดจากทองหรือไม่ โดยในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมาได้พูดถึงการนำเข้าและการส่งออกทอง อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์เชิงลึก พบว่า ธุรกรรมจากการขายทองคำผ่านแอปพลิเคชัน ส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทอย่างรุนแรง โดยกลไก คือ เมื่อนักลงทุนขายทองคำเป็นเงินบาทผ่านแอป ร้านทองต้องนำทองไปขายต่อในต่างประเทศเพื่อบริหารความเสี่ยง (Square Position) ทำให้ได้รับเงินดอลลาร์มา และเมื่อนำดอลลาร์มาขายเพื่อซื้อบาทกลับคืน จึงกลายเป็นแรงกดดันให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น
“ในช่วงที่บาทแข็งค่าหนักๆ ยอดขายดอลลาร์ที่เกิดจากธุรกรรมทองคำสูงถึง 40-60% ของยอดขายดอลลาร์รวมทั้งประเทศ ซึ่งการเก็งกำไรในลักษณะนี้ไม่ได้ส่งผลดีต่อตัวเลขจีดีพี หรือการเติบโตของเศรษฐกิจในภาพรวม”
นายวิทัย กล่าวว่า ธุรกิจการค้าขายทองคำ เป็นธุรกิจเดียวที่ไม่มีการควบคุม ซึ่งเราขอให้กระทรวงการคลังหาหน่วยงานหลักเข้ามาดูแล และขณะนี้ ธปท. อยู่ระหว่างการประสานงานกับกระทรวงการคลัง เพื่อขออำนาจในการแก้ประกาศกระทรวงการคลัง กำกับดูแลธุรกรรมการซื้อขายทองคำที่ส่งผลต่ออัตราแลกเปลี่ยน คาดว่าจะสามารถแก้ไขประกาศกระทรวงการคลังได้แล้วเสร็จภายในสัปดาห์ที่ 1 หรือ 2 ของปีหน้า และจะเริ่มเห็นความชัดเจนในการกำกับดูแลช่วงสัปดาห์ที่ 3-4 ของเดือนมกราคม 2569
อย่างไรก็ตาม ธปท. ยืนยันว่าการควบคุมนี้จะมุ่งเน้นไปที่ผู้เทรดทองคำจำนวนมาก ที่มีมูลค่าหลายร้อยล้านบาท และมีการเทรดหลายรอบต่อวัน โดยได้ขอความร่วมมือผู้ให้บริการแอปพลิเคชันรายใหญ่ประมาณ 5-15 รายต้องปรับตัว ต้องดูแลไม่ให้เกิดการเกร็งกำไรที่เกินควร ซึ่งผู้ให้บริการยินดีให้ความร่วมมือ ทั้งนี้ ยืนยันว่า จะไม่กระทบต่อการซื้อขายทองคำตามตู้ทองหรือการออมทองรายย่อยทั่วไป
ส่วนมาตรการเหล่านี้จะช่วยให้บาทไม่หลุด 30 บาทต่อดอลลาร์หรือไม่ นายวิทัย ระบุว่าไม่สามารถตอบเรื่องตัวเลขเป้าหมายได้ แต่เป้าหมายหลักคือการลดความผันผวน และป้องกันไม่ให้เกิดธุรกรรมที่บิดเบือนซึ่งส่งผลเสียต่อผู้ส่งออกและระบบเศรษฐกิจในระยะยาว ขณะเดียวกัน การแก้ปัญหานี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่ต้องใช้เวลาและความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน