KEY
POINTS
ราคาทองคำเคลื่อนไหวผันผวนรุนแรงในสัปดาห์นี้ หลังจากปรับตัวขึ้นกว่า 50% ตั้งแต่ต้นปี จนแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ใกล้ 4,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทองคำกลับเผชิญวันร่วงหนักที่สุดในรอบทศวรรษ โดยดิ่งลงกว่า 6% เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ทำให้นักลงทุนถกเถียงกันว่าการปรับขึ้นครั้งใหญ่สิ้นสุดลงแล้วหรือควร “ซื้อช่วงราคาร่วง”
ผลตอบแทนทองคำรายปีตั้งแต่ปี 2020
นักลงทุนสายทองคำที่รอจังหวะซื้อช่วงราคาต่ำเข้ามาซื้อ ทำให้ราคาทองคำลดการขาดทุนลงบางส่วน แต่สุดท้ายยังปิดสัปดาห์ด้วยการลดลง 3.5% ซึ่งยังไม่ถือว่าน่ามั่นใจนัก
อย่างไรก็ตาม โกลด์แมนแซคส์ ไม่ได้แสดงความกังวลมากนัก โดยอิงจากประมาณการราคาทองคำที่ปรับปรุงใหม่สำหรับปี 2026
เศรษฐกิจสหรัฐฯ อยู่ในจุดเปลี่ยนที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต้องเผชิญภารกิจสองด้านระหว่างการรักษาการจ้างงานให้ต่ำและการควบคุมเงินเฟ้อ
ตลาดแรงงานเริ่มอ่อนแรงลง สะท้อนจากจำนวนการเลิกจ้างและอัตราว่างงานที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังผลักดันให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นและเงินเฟ้อขยับสูง
เมื่อเดือนสิงหาคม สำนักสถิติแรงงานรายงานว่าอัตราว่างงานอยู่ที่ 4.3% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่ปี 2021 ข้อมูลจากบริษัท Challenger, Gray & Christmas ระบุว่ามีการปลดพนักงานเกือบ 1 ล้านคนในปีนี้ เพิ่มขึ้น 55% จากช่วงเดียวกันของปี 2024
ขณะที่การศึกษาของ Resume.org พบว่า 39% ของบริษัทมีการเลิกจ้างพนักงาน และอีก 35% คาดว่าจะมีการลดพนักงานก่อนสิ้นปีนี้ ในเวลาเดียวกัน ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ระบุว่าเงินเฟ้ออยู่ที่ 3% ในเดือนกันยายน เพิ่มขึ้นจาก 2.3% ในเดือนเมษายน ก่อนที่มาตรการภาษีส่วนใหญ่จะเริ่มมีผล
แรงกดดันดังกล่าวสร้างภาระต่อเฟด แต่หลายฝ่ายคาดว่าเฟดจะยังคงให้ความสำคัญกับการพยุงตลาดแรงงาน เนื่องจากเชื่อว่าผลกระทบของภาษีต่อเงินเฟ้อจะเป็นเพียงชั่วคราว
ขณะเดียวกัน ภาระหนี้สาธารณะสหรัฐฯ ที่สูงมาก และความเสี่ยงที่นักลงทุนต่างชาติอาจลดการซื้อพันธบัตรสหรัฐฯ ทำให้เกิดคำถามต่อความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจโดยรวม
ผลลัพธ์คือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Treasury yields) มีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะหลังจากเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในเดือนกันยายน ขณะที่ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีอยู่ที่ 4% ลดลงจาก 4.77% เมื่อต้นเดือนมกราคม ส่วนดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ลดจาก 109 เหลือ 99 ในช่วงเวลาเดียวกัน
ทั้งสองปัจจัยนี้ล้วนเป็นผลดีต่อราคาทองคำ เพราะในอดีต ราคาทองมักเคลื่อนไหวสวนทางกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรและค่าเงินดอลลาร์
สาเหตุคือ เมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลง การถือครองพันธบัตรจึงไม่น่าสนใจเท่าทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย อีกทั้งทองคำมีการกำหนดราคาเป็นดอลลาร์ เมื่อค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ย่อมทำให้ทองคำจูงใจต่อผู้ซื้อต่างประเทศมากขึ้น รวมถึงธนาคารกลางทั่วโลก
โกลด์แมนแซคส์ปรับมุมมองราคาทองคำปี 2026 หลังราคาผันผวน
การผันผวนของราคาทองคำในสัปดาห์นี้ทำให้นักวิเคราะห์ของโกลด์แมนแซคส์ ทบทวนเป้าหมายราคาทองคำอีกครั้ง โดยธนาคารไม่ได้ตื่นตระหนกกับแรงขายล่าสุด แต่กลับยืนยันมุมมองเชิงบวกในระยะยาว หลังจากช่วงที่มีแรงซื้อเข้ามามากและราคาขึ้นต่อเนื่อง การปรับฐานและพักตัวถือเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพของตลาดทองคำ และไม่ได้เปลี่ยนแปลงมุมมองเชิงบวกในระยะยาว
โกลด์แมนแซคส์ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสถาบันการลงทุนชั้นนำของวอลล์สตรีท มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 156 ปีในการผ่านทั้งรอบขาขึ้นและขาลงของทองคำมาแล้วหลายครั้ง มุมมองเชิงบวกของโกลด์แมน แซคส์ว่าการปรับฐานของทองคำเป็น “สัญญาณสุขภาพดี” มีพื้นฐานจาก 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา การไหลเข้าของเงินทุนในกองทุนทองคำ ETF มีส่วนสำคัญที่ช่วยพยุงราคาทองคำ โดยข้อมูลของโกลด์แมน แซคส์ระบุว่า ETF ได้เข้าซื้อทองคำรวม 268 ตันในช่วง 8 สัปดาห์ที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่า 33,000 ล้านดอลลาร์
แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลงซึ่งกดผลตอบแทนพันธบัตรให้ลดลง ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอนและค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า ทำให้โกลด์แมน แซคส์ประเมินว่า แม้ราคาทองคำอาจทดสอบระดับแนวรับใกล้ 4,000 ดอลลาร์ แต่มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่องจนถึงสิ้นปีและต่อเนื่องถึงปี 2026
จากสมมติฐานทั้งหมดนี้ โกลด์แมน แซคส์ตั้งเป้าราคาทองคำไว้ที่ 4,440 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในไตรมาสแรกของปี 2026 และจะปรับขึ้นแตะระดับ 5,055 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในไตรมาสสุดท้ายของปีเดียวกัน