KEY
POINTS
นายชลธิศ นวลพลับ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมา ราคาทองคำปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจาก 'โลกเริ่มสงบสุข' นักลงทุนคลายความกังวลทั้งเรื่องสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ และความเสี่ยงการปิดหน่วยงานภาครัฐ (Government Shutdown) ของสหรัฐ หลังมีสัญญาณบวกว่าทั้งสองฝ่ายอาจสามารถเจรจากันได้ และภาครัฐสหรัฐอาจกลับมาเปิดทำการในเร็ววัน
นายชลธิศ กล่าวต่อว่า การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เตรียมพบกันในสัปดาห์หน้า ทำให้นักลงทุนเริ่มคาดหวังเชิงบวกต่อการคลี่คลายปัญหาการค้า โดยเฉพาะเมื่อใกล้เข้าสู่ช่วงเทศกาลฮาโลวีนและคริสต์มาส ซึ่งชาวอเมริกันจับจ่ายใช้สอยมาก หากขึ้นภาษีในช่วงนี้จะกระทบราคาสินค้าและอุปสงค์ในประเทศ อีกทั้งจีนยังใช้มาตรการจำกัดการส่งออก “แร่แรร์เอิร์ธ” ซึ่งแม้มีราคาถูกแต่จำเป็นต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี
“แรร์เอิร์ธ ก็เหมือนวาซาบิในซูชิ ที่แม้ปริมาณน้อยแต่ขาดไม่ได้ ทำให้สหรัฐอาจต้องยอมเจรจาเพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจ"
เขากล่าวว่า ราคาทองที่ลดลงในช่วง 1–2 วันที่ผ่านมา เป็นผลจากการคาดการณ์ดังกล่าว ประกอบกับมีปัจจัยอื่นที่นักลงทุนต้องติดตาม เช่น การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์หน้า ซึ่งอาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ย หากเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวหรือเกิดภาวะ 'stagflation' (เงินเฟ้อสูงแต่เศรษฐกิจซบเซา) ปัจจัยเหล่านี้ยังคงเอื้อต่อราคาทองคำในระยะกลาง ถึงแม้ระยะสั้นอาจมีแรงขายทำกำไรออกมา
“ราคาทองขึ้นมาแรงจนถึงระดับ 70,000 บาทต่อบาททองคำ ระยะสั้นอาจมีแรงขาย แต่ยังไม่ใช่ขาลง เพราะยังมีปัจจัยรออยู่ โดยเฉพาะการประชุมเฟด หากลดดอกเบี้ยจริง ราคาทองอาจปรับขึ้นอีกรอบ” นายชลธิศกล่าว
เมื่อถามถึงมูลค่าที่แท้จริงของทองคำ เขาระบุว่า การประเมินมูลค่าทองต่างจากหุ้นเพราะไม่มีเครื่องมือวัดแบบ PE หรือ Discounted Cash Flow แต่เป็นสินทรัพย์ที่มีลักษณะเก็งกำไรและมีอุปสงค์สูง โดยเฉพาะทองแท่งที่ถูกซื้อเพื่อเก็บมากกว่านำมาขาย ทำให้ 'ซัพพลายหายไปเรื่อย ๆ' ส่งผลให้ทองมีมูลค่าพื้นฐานที่ประเมินยาก ทั้งนี้ ราคาทองที่ขึ้นกว่า 500 เหรียญในเดือนก่อนหน้ามาจากปัจจัยกังวลเรื่องจีน–สหรัฐและรัฐบาลสหรัฐหยุดทำงาน แต่เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ราคาทองก็ปรับลดลง 250 เหรียญ
สำหรับแนวรับสำคัญ เขามองไว้ที่ระดับ 3,800 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ แต่ยังไม่คาดว่าจะลงไปถึงจุดนั้น โดยอ้างอิงข้อมูลทางสถิติว่า ทองมักจะขึ้นติดต่อกันไม่เกิน 9 สัปดาห์ และในปีนี้ขึ้นถึงสัปดาห์ที่ 10 จึงมีโอกาสพักฐานตามรอบ ขณะที่โดยเฉลี่ยในช่วงเดือนตุลาคม–พฤศจิกายน ราคาทองมักปรับลดลงราว 3–4% ก่อนจะฟื้นตัวช่วงต้นปี
“ทองให้ผลตอบแทนดีที่สุดช่วงตรุษจีน เพราะฉะนั้นช่วงนี้ถ้าราคาทองอ่อนตัว ถือเป็นจังหวะซื้อสะสม เพื่อขายทำกำไรช่วงต้นปี ซื้อปลายปีขายต้นปี เป็นจังหวะที่ใช้ได้มาตลอด แนะนำนักลงทุนมองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยมากกว่าการเก็งกำไรจากเหตุการณ์ภูมิรัฐศาสตร์"
นายชลธิศยังระบุว่า ปัจจัยสนับสนุนสำคัญในระยะกลางคือแรงซื้อจากธนาคารกลางทั่วโลกที่เพิ่มการถือครองทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศ หลังเริ่มกังวลความเสี่ยงจากการถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ จึงหันมากระจายการถือครองไปยังทองคำแทน โดยเฉพาะจีนที่ยังเกินดุลการค้าและมีการซื้อทองต่อเนื่อง
สุดท้าย เขาให้คำแนะนำนักลงทุนว่า ช่วงนี้ทองคำอยู่ในช่วง 'ปรับฐาน' นักลงทุนสามารถทยอยสะสมได้ โดยเฉพาะผู้ลงทุนทองคำแท่งควรซื้อสะสมเมื่อราคาอ่อนตัว ส่วนผู้ลงทุนในตลาดอนุพันธ์สามารถเก็งกำไรจากส่วนต่างสัญญาทองล่วงหน้าระหว่างเดือนใกล้และเดือนไกล ซึ่งต่างกันราว 700–750 บาท ขณะที่ทองคำล่วงหน้าเดือนกุมภาพันธ์อยู่ในระดับสูงกว่าเดือนปัจจุบัน สะท้อนความคาดหวังว่าราคาทองจะปรับขึ้นได้อีกในต้นปีหน้า
“ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในภาวะเศรษฐกิจผันผวน แม้ราคาจะอ่อนในระยะสั้น แต่ระยะกลางยังมีโอกาสฟื้นตัวได้ โดยเฉพาะหากเฟดลดดอกเบี้ยและเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว” นายชลธิศกล่าวทิ้งท้าย