กูรู ชี้ ทองคำร่วง หลังความกังวลโลกคลี่คลาย เฟดลดดอกเบี้ย–หนุนรีบาวด์ต้นปีหน้า

22 ต.ค. 2568 | 07:28 น.
อัปเดตล่าสุด :22 ต.ค. 2568 | 07:41 น.

นักวิเคราะห์ทองคำ ฮั่วเซ่งเฮง ชี้ ราคาทองคำปรับฐาน หลังความตึงเครียดจีน–สหรัฐและปัญหา Government Shutdown คลี่คลาย ชี้เป็นจังหวะพักฐานก่อนขึ้นรอบใหม่ หากเฟดลดดอกเบี้ยจริงช่วงปลายปี ทองคำจะกลับมาเด่นอีกครั้งต้นปี 2026

KEY

POINTS

  • ราคาทองคำปรับตัวลดลงในระยะสั้น เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลต่อสถานการณ์โลก โดยเฉพาะสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ และความเสี่ยง Government Shutdown ที่มีทิศทางดีขึ้น
  • การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ย เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยพยุงและหนุนให้ราคาทองคำกลับมาปรับตัวสูงขึ้นได้ในระยะกลาง
  • ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าราคาทองคำมีแนวโน้มจะฟื้นตัวในช่วงต้นปีหน้า โดยมองว่าช่วงที่ราคาอ่อนตัวลงในปลายปีนี้เป็นจังหวะที่ดีในการเข้าซื้อสะสมเพื่อรอทำกำไร

นายชลธิศ นวลพลับ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมา ราคาทองคำปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจาก 'โลกเริ่มสงบสุข' นักลงทุนคลายความกังวลทั้งเรื่องสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ และความเสี่ยงการปิดหน่วยงานภาครัฐ (Government Shutdown) ของสหรัฐ หลังมีสัญญาณบวกว่าทั้งสองฝ่ายอาจสามารถเจรจากันได้ และภาครัฐสหรัฐอาจกลับมาเปิดทำการในเร็ววัน

นายชลธิศ กล่าวต่อว่า การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เตรียมพบกันในสัปดาห์หน้า ทำให้นักลงทุนเริ่มคาดหวังเชิงบวกต่อการคลี่คลายปัญหาการค้า โดยเฉพาะเมื่อใกล้เข้าสู่ช่วงเทศกาลฮาโลวีนและคริสต์มาส ซึ่งชาวอเมริกันจับจ่ายใช้สอยมาก หากขึ้นภาษีในช่วงนี้จะกระทบราคาสินค้าและอุปสงค์ในประเทศ อีกทั้งจีนยังใช้มาตรการจำกัดการส่งออก “แร่แรร์เอิร์ธ” ซึ่งแม้มีราคาถูกแต่จำเป็นต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี

“แรร์เอิร์ธ ก็เหมือนวาซาบิในซูชิ ที่แม้ปริมาณน้อยแต่ขาดไม่ได้ ทำให้สหรัฐอาจต้องยอมเจรจาเพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจ"

นายชลธิศ นวลพลับ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด

เขากล่าวว่า ราคาทองที่ลดลงในช่วง 1–2 วันที่ผ่านมา เป็นผลจากการคาดการณ์ดังกล่าว ประกอบกับมีปัจจัยอื่นที่นักลงทุนต้องติดตาม เช่น การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์หน้า ซึ่งอาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ย หากเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวหรือเกิดภาวะ 'stagflation' (เงินเฟ้อสูงแต่เศรษฐกิจซบเซา) ปัจจัยเหล่านี้ยังคงเอื้อต่อราคาทองคำในระยะกลาง ถึงแม้ระยะสั้นอาจมีแรงขายทำกำไรออกมา

“ราคาทองขึ้นมาแรงจนถึงระดับ 70,000 บาทต่อบาททองคำ ระยะสั้นอาจมีแรงขาย แต่ยังไม่ใช่ขาลง เพราะยังมีปัจจัยรออยู่ โดยเฉพาะการประชุมเฟด หากลดดอกเบี้ยจริง ราคาทองอาจปรับขึ้นอีกรอบ” นายชลธิศกล่าว

เมื่อถามถึงมูลค่าที่แท้จริงของทองคำ เขาระบุว่า การประเมินมูลค่าทองต่างจากหุ้นเพราะไม่มีเครื่องมือวัดแบบ PE หรือ Discounted Cash Flow แต่เป็นสินทรัพย์ที่มีลักษณะเก็งกำไรและมีอุปสงค์สูง โดยเฉพาะทองแท่งที่ถูกซื้อเพื่อเก็บมากกว่านำมาขาย ทำให้ 'ซัพพลายหายไปเรื่อย ๆ' ส่งผลให้ทองมีมูลค่าพื้นฐานที่ประเมินยาก ทั้งนี้ ราคาทองที่ขึ้นกว่า 500 เหรียญในเดือนก่อนหน้ามาจากปัจจัยกังวลเรื่องจีน–สหรัฐและรัฐบาลสหรัฐหยุดทำงาน แต่เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ราคาทองก็ปรับลดลง 250 เหรียญ

สำหรับแนวรับสำคัญ เขามองไว้ที่ระดับ 3,800 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ แต่ยังไม่คาดว่าจะลงไปถึงจุดนั้น โดยอ้างอิงข้อมูลทางสถิติว่า ทองมักจะขึ้นติดต่อกันไม่เกิน 9 สัปดาห์ และในปีนี้ขึ้นถึงสัปดาห์ที่ 10 จึงมีโอกาสพักฐานตามรอบ ขณะที่โดยเฉลี่ยในช่วงเดือนตุลาคม–พฤศจิกายน ราคาทองมักปรับลดลงราว 3–4% ก่อนจะฟื้นตัวช่วงต้นปี

“ทองให้ผลตอบแทนดีที่สุดช่วงตรุษจีน เพราะฉะนั้นช่วงนี้ถ้าราคาทองอ่อนตัว ถือเป็นจังหวะซื้อสะสม เพื่อขายทำกำไรช่วงต้นปี ซื้อปลายปีขายต้นปี เป็นจังหวะที่ใช้ได้มาตลอด แนะนำนักลงทุนมองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยมากกว่าการเก็งกำไรจากเหตุการณ์ภูมิรัฐศาสตร์"

นายชลธิศยังระบุว่า ปัจจัยสนับสนุนสำคัญในระยะกลางคือแรงซื้อจากธนาคารกลางทั่วโลกที่เพิ่มการถือครองทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศ หลังเริ่มกังวลความเสี่ยงจากการถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ จึงหันมากระจายการถือครองไปยังทองคำแทน โดยเฉพาะจีนที่ยังเกินดุลการค้าและมีการซื้อทองต่อเนื่อง

สุดท้าย เขาให้คำแนะนำนักลงทุนว่า ช่วงนี้ทองคำอยู่ในช่วง 'ปรับฐาน' นักลงทุนสามารถทยอยสะสมได้ โดยเฉพาะผู้ลงทุนทองคำแท่งควรซื้อสะสมเมื่อราคาอ่อนตัว ส่วนผู้ลงทุนในตลาดอนุพันธ์สามารถเก็งกำไรจากส่วนต่างสัญญาทองล่วงหน้าระหว่างเดือนใกล้และเดือนไกล ซึ่งต่างกันราว 700–750 บาท ขณะที่ทองคำล่วงหน้าเดือนกุมภาพันธ์อยู่ในระดับสูงกว่าเดือนปัจจุบัน สะท้อนความคาดหวังว่าราคาทองจะปรับขึ้นได้อีกในต้นปีหน้า

“ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในภาวะเศรษฐกิจผันผวน แม้ราคาจะอ่อนในระยะสั้น แต่ระยะกลางยังมีโอกาสฟื้นตัวได้ โดยเฉพาะหากเฟดลดดอกเบี้ยและเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว” นายชลธิศกล่าวทิ้งท้าย