ไม่เกิน 72 บาทและเกิน 72 บาทต่อซองให้เสียภาษีในอัตราที่แตกต่างกัน 25% และ 42% ของราคาขาย และจัดเก็บภาษีปริมาณอีก 1.25 บาทต่อมวนหรือ 25 บาทต่อซอง
ผลที่ตามมากลับทำให้ความสามารถในการจัดเก็บภาษียาสูบของกรมสรรพสามิตในปี 2568 ลดลงกว่า 21,000 ล้านบาท จากที่เคยเก็บได้ในปี 2560
ขณะที่การยาสูบแห่งประเทศไทยที่เคยมีความสามารถในการนำส่งภาษีให้กับภาครัฐสูงถึง 6,395 ล้านบาท ในปี 2560 เหลือเพียง 492 ล้านบาทในปี 2568 จนเกิดความจำเป็นในการที่กรมสรรพสามิตและกระทรวงการคลังต้องพิจารณาทบทวนปรับเปลี่ยนแนวทางการจัดเก็บภาษีบุหรี่ใหม่เพื่อไปใช้อัตราภาษีมูลค่าอัตราเดียวตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง ได้เผยแพร่โครงการวิจัย เรื่อง การศึกษาเพื่อพัฒนาโครงสร้างภาษีสรรพสามิตยาสูบ เพื่อเสนอแนวทางการปฏิรูปภาษีสรรพสามิตยาสูบที่เหมาะสมกับประเทศไทย โดยสรุปสาระสำคัญของงานวิจัยได้ ดังนี้
- ประเทศไทยมีการใช้อัตราภาษีมูลค่า 2 อัตรา ตามราคาขายปลีก ซึ่งไม่สอดคล้องกับคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกที่เสนอแนะให้ใช้โครงสร้างระบบภาษียาสูบที่มีความเรียบง่าย (Simplifying) เพราะระบบภาษีที่ซับซ้อนมีต้นทุนในการบริหารการจัดเก็บสูง ก่อให้เกิดการเลี่ยงภาษี และนำไปสู่การสร้างผลิตภัณฑ์ที่เสียภาษีต่ำ แทนผลิตภัณฑ์ที่เสียภาษีในอัตราสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อโครงสร้างตลาดและพฤติกรรมการบริโภค ดังนั้น ประเทศไทยควรมีระบบภาษียาสูบเป็นโครงสร้างแบบอัตราเดียว (Single Uniform Tax) เพื่อตอบโจทย์เรื่องความอันตรายของผลิตภัณฑ์ที่บุหรี่ทุกยี่ห้อทุกแบรนด์ต่างก็มีความอันตรายเท่ากัน (Equally harmful)
- ระบบภาษียาสูบตามอัตรามูลค่า 2 อัตราที่ไทยใช้อยู่ไม่ได้ลดแรงจูงใจในการบริโภคคยาสูบของประชาชน และสร้างผลกระทบต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในหลายมิติ ทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาระหว่างบุหรี่ในประเทศและนอกประเทศเพิ่มขึ้น ดังนั้น เครื่องมือภาษีและกลยุทธ์ด้านราคาอาจไม่ใช่แนวทางที่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรสำหรับการยาสูบฯ ซึ่งควรพึ่งพากลยุทธ์การตลาดและการพัฒนาคุณภาพมากขึ้น
- การปรับนโยบายภาษีสรรพสามิตยาสูบในระยต่อไปควรพิจารณาถึง 5 ปัจจัยหลัก ได้แก่ รายได้รัฐ รายได้เกษตรกรยาสูบ การบริโภคยาสูบ การป้องกันการนำเข้ายาสูบผิดกฎหมาย และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ผลิตรายใหญ่
โดยรายงานฯ ได้คำนวณและเสนออัตราภาษีมูลค่าอัตราเดียวที่เหมาะสมภายใต้สมมติฐานต่าง ๆ เพื่อเป็นทางออกในการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ต่อไป ซึ่งในระยะยาวควรพัฒนากลไกการปรับอัตราภาษีตามปริมาณให้สามารถเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อได้ เช่นเดียวกับประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ที่มีการเก็บภาษีสรรพสามิตยาสูบอัตราเดียวตามปริมาณและมีการกำหนดปรับอัตราภาษีตามดัชนีราคาผู้บริโภคเป็นประจำ
เช่นเดียวกับที่ ศ.ดร.อรรถกฤต ปัจฉิมนันท์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ผศ. ดร. มานา ปัจฉิมนันท์ คณะนิเทศศาสตร์มหาลัยหอการค้าไทย ได้เคยเผยแพร่งานวิจัยเรื่อง การศึกษาประสิทธิภาพของนโยบายอัตราภาษีสรรพสามิตยาสูบในประเทศไทยในวารสารวารสารธรรมศาสตร์ ปีที่ 41 ฉบับที่ 1 โดยแสดงความคิดเห็นถึงปัญหาของโครงสร้างภาษีบุหรี่สรุปได้ดังนี้
- ควรใช้อัตราภาษีอัตราเดียว (Uniform tax rate) สำหรับผลิตภัณฑ์ยาสูบประเภทเดียวกันเพื่อความเรียบง่าย ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้ผู้ประกอบการบุหรี่ลดราคาบุหรี่หรือออกสินค้าใหม่ที่มีราคาถูกลง เพื่อจะได้เสียภาษีในอัตราที่ลดลงได้เหมือนในระบบภาษีที่มีหลายขั้นอัตราภาษี ดังนั้น จึงควรรวมอัตราภาษีตามมูลค่าของบุหรี่เป็นอัตราเดียวทันที โดยกำหนดอัตราภาษีมูลค่าอัตราเดียวใหม่ที่เหมาะสมกับกำลังซื้อของผู้บริโภค ไม่สูงจนเกินไป โดยจะทำให้รายได้ภาษีสรรพสามิตยาสูบเพิ่มขึ้น และไม่ส่งเสริมการหันไปใช้สินค้าทดแทน
- ภาษีบุหรี่อัตราเดียวยังช่วยเพิ่มความหลากหลายด้านราคาของบุหรี่ให้ผู้บริโภคได้เลือกกันมากขึ้น ลดการกระกระจุกตัวที่บุหรี่เทียร์ล่าง และส่งผลดีต่อการขายใบยาสูบของชาวไร่ยาสูบที่ขายให้กับการยาสูบฯ และผลการดำเนินงานของการยาสูบฯ ด้วย เพราะสามารถกำหนดระดับราคาบุหรี่ได้หลากหลาย ช่วยสร้างช่องว่างราคาระหว่างบุหรี่ในประเทศและต่างประเทศมากขึ้น ทำให้การยาสูบฯแข่งขันได้ดีขึ้น และช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไร โดยแก้ไขปัญหาภาระภาษีต่อซองที่สูงจนเกินไป โดยระดับภาระภาษีที่เหมาะสมไม่ควรสูงจนเกินไป และควรอยู่ในระดับ 70-75% ของราคาขาย ซึ่งเป็นระดับที่องค์การอนามัยโลกแนะนำว่าเหมาะสมว่าเป็นแนวปฏิบัติที่ดี