KEY
POINTS
ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่เปิดเผยถึงสาเหตุว่าทำไมต้องใช้ภาษีบุหรี่แบบอัตราเดียวและปรับให้สูงขึ้นว่า เรื่องราคาบุหรี่ส่งผลต่อเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ เพราะจากการที่ไม่มีรายได้ หรือมีรายได้น้อย โอกาสจะสูบบุหรี่ลดลงมากกว่า เหมือนกับคนที่ระดับรายได้ระดับกลางขึ้นไปถึงรายได้สูง จะไม่เปลี่ยนพฤติกรรมการสูบเพราะราคาบุหรี่ยังเป็นสัดส่วนน้อยต่อรายได้ของเขา เพราะฉะนั้นคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะสูบเท่าเดิม
แต่ในขณะที่คนจนมีแนวโน้มสูบลดลง หรือเปลี่ยนไปสูบบุหรี่ชนิดที่ราคาถูกกว่าหรือส่วนหนึ่งตัดใจเลิกบุหรี่ไปเลย นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมต้องใช้ภาษีบุหรี่อัตราเดียว และใช้อัตราภาษีบุหรี่ให้สูง ให้บุหรี่มีราคาสูง
และไม่เพียงแต่ใช้กับบุหรี่มวนเท่านั้น ยาเส้นก็ควรคิดภาษีในอัตราที่สูงเช่นกัน เพราะคนที่หนีจากบุหรี่ราคาแพง ก็หันไปหายาเส้นทำให้การเลิกบุหรี่ไม่ได้ผลเลย ดังนั้นมาตรการทางภาษีจึงเป็นมาตรการที่ดีที่สุดในการป้องกันเด็กให้ห่างไกลจากการสูบบุหรี่
ทั้งนี้ สอดคล้องกับงานวิจัย The Impact of Price on Youth Tobacco Use จากเว็บไซต์ cancercontrol.cancer.gov ที่ระบุว่า ด้วยข้อจำกัดด้านงบประมาณ (Income constraint) เยาวชนโดยทั่วไปมีรายรับที่จำกัด ไม่ว่าจะเป็นเงินจากผู้ปกครอง หรือรายได้จากงานพาร์ทไทม์ การเพิ่มราคาหรือขึ้นภาษีจะทำให้บุหรี่กลายเป็นสินค้าที่เกินกำลังซื้อ
นอกจากนี้งานวิจัยหลายชิ้นยังชี้ว่าเยาวชนยังมีความไวต่อราคา (Higher price elasticity) การปรับขึ้นราคาบุหรี่จึงลดการทดลองที่เกิดจากการเข้าถึงง่ายและได้รับการชักชวนจากเพื่อน รวมถึงลดการซื้อซ้ำได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่ที่มีรายได้มากกว่า
ความเสี่ยงเหล่านี้ไม่ได้มีเพียงเฉพาะประเทศไทย แต่ทุกประเทศทั่วโลกมีลักษณะเดียวกันหมดและในกลุ่มเยาวชนเขาจะมีความคิดว่า แค่ลองสูบไม่น่าจะติด อยากเลิกเมื่อไหร่ก็เลิกได้
แต่ในความเป็นจริงแล้วเมื่อเริ่มสูบบุหรี่ จากเด็กไทย 10 คนที่ติดบุหรี่ จะมี 7 คนที่เลิกได้ตอนเสียชีวิตไปแล้ว อีก 3 คนที่เหลือจะต้องใช้เวลาเฉลี่ยที่จะเลิกบุหรี่ถึง 21 ปี สิ่งที่อยากบอกกับเยาวชนไทยทุกคนก็คือ บุหรี่เมื่อเริ่มสูบแล้วอย่าไปคิดว่าจะเลิกเมื่อไหร่ก็ได้ บุหรี่เป็นสิ่งที่เลิกได้ยาก ปัจจุบันบุหรี่ไม่ใช่สิ่งที่สังคมโลกยอมรับ และบุหรี่คร่าชีวิตคนทั่วโลกปีละกว่า 8 ล้านคน
การใช้กลไกทางภาษีในการควบคุมราคาบุหรี่ให้สูงขึ้นนั้นสามารถช่วยปกป้องเยาวชนจากภัยบุหรี่ได้อย่างแน่นอน หากเราเทียบจากงานวิจัยการประเมินผลกระทบของนโยบายควบคุมยาสูบ พ.ศ.2534-2549 ที่ประสบความสำเร็จในการลดจำนวนผู้สูบถึง 25 เปอร์เซ็นต์ หรือคิดเป็นจำนวนผู้สูบกว่า 4 ล้านคน พบว่าเครื่องมือที่ช่วยลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ได้มากที่สุดก็คือ การขึ้นภาษี ที่ช่วยลดจำนวนผู้สูบได้ถึง 61.2 เปอร์เซ็นต์ หรือคิดเป็นจำนวนผู้สูบประมาณ 2.4 ล้านคน
รองลงมาคือเครื่องมือการห้ามโฆษณา ช่วยลดจำนวนผู้สูบได้ 21.8 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นจำนวนผู้สูบประมาณ 8.7 แสนคน ซึ่งจะเห็นได้ว่าการใช้เครื่องมือภาษีนั้นช่วยลดจำนวนผู้สูบได้เป็นอย่างดี ดังนั้นในตรรกะเดียวกันการขึ้นภาษีบุหรี่ก็จะช่วยปกป้องเยาวชนจากบุหรี่ได้เช่นกัน
ภาษีบุหรี่ไม่ใช่แค่เครื่องมือด้านรายได้ของรัฐ
แต่เป็นกำแพงป้องกันเยาวชนที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง งานวิจัยจากไทยและต่างประเทศยืนยันตรงกันว่า ราคาบุหรี่ที่สูงขึ้น จะช่วยลดทั้งการเริ่มสูบบุหรี่ และลดปริมาณการบริโภคในเยาวชนได้จริง อีกทั้งยังช่วยลดสภาพแวดล้อมเสี่ยงที่นำไปสู่การเสพติดสารอื่นในอนาคต เมื่อผสานเข้ากับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน การศึกษาในโรงเรียน และการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มแข็ง ภาษีบุหรี่จะเป็นเครื่องมือที่ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และช่วยสร้างสังคมที่ปลอดภัยขึ้นสำหรับเยาวชนรุ่นต่อไป
ในขณะที่ภาครัฐเองล่าสุด ก็มีสัญญาณตอบรับในแง่บวกที่ดีขึ้นหลังจาก พรชัย ฐีระเวช อธิบดีกรมสรรพสามิต เตรียมพิจารณาเก็บภาษีบุหรี่อัตราเดียว (Single rate) พร้อมวางเป้าหมายเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และผ่านกฤษฎีกาภายในเดือนมกราคม 2569
ซึ่งการกลับมาใช้การเก็บภาษีบุหรี่ในอัตราเดียวของกรมสรรพสามิต จะช่วยสร้างกำแพงป้องกันเยาวชน ไม่ให้เข้ามาสู่เส้นทางการสูบบุหรี่ รวมทั้งช่วยลดจำนวนผู้สูบและสร้างรายได้ให้แก่รัฐอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น แต่ที่จริงแล้วนโยบายที่มีประโยชน์แบบนี้ รัฐบาลชุดปัจจุบันสามารถทำได้ทันที
หากเริ่มเร็วมากยิ่งขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งช่วยปกป้องเยาวชนไทยได้เร็วมากขึ้นตามนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล เพราะปัจจุบันมีเด็กไทยอายุ 13-15 ปี สูบบุหรี่จำนวนกว่า 267,000 คน และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นหากประเทศไทยยังมีบุหรี่ราคาถูก ให้เยาวชนเหล่านี้เข้าถึงได้ง่าย