นักเศรษฐศาสตร์ชี้ปี 69 เสี่ยงรายได้ภาษีหลุดเป้า-โครงสร้างซับซ้อนรายได้รั่วไหล

01 ธ.ค. 2568 | 05:20 น.
อัปเดตล่าสุด :01 ธ.ค. 2568 | 05:20 น.

นักเศรษฐศาสตร์ชี้ปี 69 เสี่ยงหนัก รายได้ภาษีหลุดเป้า โครงสร้างซับซ้อนทำรายได้รั่วไหล เตือนส่งผลกับอันดับเครดิตประเทศ

KEY

POINTS

  • เศรษฐกิจฟื้นตัวช้าและสังคมสูงวัยทำให้ฐานภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่มลดลง สวนทางกับรายจ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้น
  • พฤติกรรมผู้บริโภคที่หันไปซื้อสินค้าที่เสียภาษีในอัตราต่ำลง (Down Trading) และปัญหาของเถื่อน ทำให้การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตลดลง
  • โครงสร้างภาษียาสูบแบบ 2 อัตราที่ซับซ้อน เปิดช่องให้เกิดการเลี่ยงภาษีและทำให้รายได้รัฐรั่วไหล โดยมีข้อเสนอให้เปลี่ยนเป็นระบบอัตราเดียว

KKP Research ธนาคารเกียรตินาคินภัทรจำกัด (มหาชน) ประเมินว่า แม้เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณฟื้นตัวหลังโควิด-19 แต่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ยังไม่ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ ทำให้ระบบเศรษฐกิจยังไม่กลับมาเดินเครื่องเต็มร้อย และกำลังซื้อก็ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ทำให้ภาษีนิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT โตไม่ตามกรอบ และหนี้ครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับสูง ขณะที่ฝั่งภาษีศุลกากร และภาษีสรรพสามิตก็ยังมีหลายส่วนที่ไม่เป็นไปตามเป้า

ด้านความสามารถในการจัดเก็บภาษีของไทยลดจาก 17% เหลือเพียง 15% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(GDP) และเตือนชัดว่าหากรายได้ภาษีหลุดเป้าในช่วง 1–2 ปีข้างหน้า ความเสี่ยงทางการคลังจะสูงขึ้นมาก และอาจส่งผลต่ออันดับเครดิตของประเทศได้

นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TTB ระบุว่า เมื่อรายได้ภาษีไม่ถึงเป้า แต่รายจ่ายรัฐเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ความเสี่ยงเชิงการคลังจะสูงขึ้น และอาจส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมของประเทศสูงขึ้นตามไปด้วย

สิ่งที่เพิ่มความเสี่ยงให้การเก็บภาษีในปี 2569 มากยิ่งขึ้นคือโครงสร้างประชากรไทยที่เดินหน้าสู่สังคมผู้สูงอายุสมบูรณ์ (Super-Aged Society) อย่างต่อเนื่อง ทำให้คนวัยทำงานลดลง ฐานภาษีเงินได้จึงลดลงตาม 

ขณะเดียวกันการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุสมบูรณ์นั้น ทำให้โครงสร้างการใช้จ่ายเปลี่ยนไป กล่าวคือผู้สูงอายุใช้จ่ายน้อยลงในสินค้าที่มีภาษีมูลค่าเพิ่มแต่ใช้จ่ายมากขึ้นในหมวดสุขภาพที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ส่งผลให้การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มโตช้ากว่าที่คาด แต่ภาระรายจ่ายรัฐเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งจากงบบำนาญ งบสาธารณสุขและงบสวัสดิการผู้สูงอายุ เมื่อฐานภาษีหดตัว แต่รายจ่ายเพิ่มต่อเนื่อง ทำให้ปี 2569 เป็นต้นไปรัฐบาลจะมีพื้นที่นโยบายทางการคลัง (Fiscal Space) น้อยลงกว่าที่เคยเป็นมา 

นักเศรษฐศาสตร์ชี้ปี 69 เสี่ยง รายได้ภาษีหลุดเป้า-โครงสร้างซับซ้อนรายได้รั่วไหล

พฤติกรรมคุมค่าใช้จ่ายในสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน ส่งผลโดยตรงกับสินค้าสรรพสามิต ที่ผู้บริโภคจำนวนมากเปลี่ยนไปซื้อสินค้าราคาถูกลง (Down Trading) เช่น บุหรี่ราคาประหยัด สุราราคาถูก สินค้าพลังงานต้นทุนต่ำ ที่มีภาษีต่อหน่วยต่ำ แม้ยอดขายอาจใกล้เคียงเดิม แต่รัฐจัดเก็บภาษีได้ลดลง นอกจากนี้ สินค้าผิดกฎหมาย เช่น บุหรี่เถื่อน แอลกอฮอล์เถื่อน ที่ลักลอบหนีภาษี ยังขยายตัวและบั่นทอนรายได้รัฐโดยตรง

ศาสตราจารย์ ดร.อรรถกฤต ปัจฉิมนันท์ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่าจากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในปีงบประมาณ 2568 พบว่า ภาษีรถยต์ สุรา และยาสูบ เป็นกลุ่มสินค้าที่สร้างรายได้หลักให้กับสรรพสามิต แต่มีการจัดเก็บได้ลดน้อยลงจากปีงบประมาณก่อนหน้า โดยภาษีรถยนต์ และภาษีสุรา มีการจัดเก็บน้อยลงเนื่องจากมาตรการลดภาษีเพื่อช่วยผู้ประกอบการ และจูงใจให้ผู้บริโภคหันไปใช้สินค้าที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมน้อยกว่า เช่น รถยนต์ไฟฟ้า 

แต่สำหรับสินค้ายาสูบนั้นไม่ได้มีมาตรการใดออกมา แต่กลับจัดเก็บรายได้ได้ลดลงต่อเนื่อง เนื่องจากโครงสร้างภาษีแบบสองอัตราเปิดช่องให้เกิดพฤติกรรมหลีกเลี่ยงภาษีโดยไม่ผิดกฎหมาย ทั้งในฝั่งผู้ผลิตและผู้บริโภค เป็นปรากฏการณ์ที่ผู้บริโภค Down Trading ไปยังบุหรี่ราคาถูก และผู้ผลิตตั้งราคาถูกลงเพื่ออยู่ในชั้นภาษีต่ำ รายได้รัฐที่เก็บได้ต่อซองต่ำลง บุหรี่ผิดกฎหมายเพิ่มส่วนแบ่งตลาด ซ้ำเติมการจัดเก็บรายได้ของรัฐ

“ตั้งแต่มีการบังคับใช้โครงสร้างภาษีบุหรี่แบบ 2 อัตรา ยังไม่เห็นข้อดีของโครงสร้างแบบนี้ จึงเสนอแนะให้ใช้โครงสร้างภาษีแบบอัตราเดียว เช่นเดียวกับในต่างประเทศซึ่งจะทำให้ระบบภาษีโปร่งใสและลดการบิดเบือนราคาได้มากกว่าเดิม”

นักเศรษฐศาสตร์ชี้ปี 69 เสี่ยง รายได้ภาษีหลุดเป้า-โครงสร้างซับซ้อนรายได้รั่วไหล

นอกจากรายได้รัฐที่รั่วไหล โครงสร้างภาษีแบบหลายอัตรายังถูกวิพากษ์จากมุมสาธารณสุขอย่างหนัก เพราะทำให้ราคาบุหรี่บางกลุ่มต่ำเกินจริง โดยเฉพาะสินค้าราคาประหยัดที่เยาวชนเข้าถึงได้ง่ายที่สุด 

ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าเยาวชนมี price sensitivity สูง ผู้ที่เริ่มสูบครั้งแรกมักเลือกสินค้าที่ราคาต่ำที่สุดในตลาด เมื่อระบบภาษีเปิดช่องให้ยังมีบุหรี่ราคาถูกอยู่จำนวนมาก จึงทำให้มาตรการป้องกันการเริ่มสูบไม่ทำงานเต็มที่

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ประกิต วาทีสาธกกิจ กล่าวว่า ภาษีบุหรี่เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดตามคำแนะนำของธนาคารโลกและองค์การอนามัยโลก จึงต้องการให้ประเทศไทยมีระบบภาษีบุหรี่อัตราเดียวเพราะจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมการบริโภคและเพิ่มรายได้รัฐไปพร้อมกัน

“นโยบายภาษีบุหรี่แบบอัตราเดียวไม่ใช่เพียงเรื่องรายได้ แต่เป็นการนำราคากลับมาทำงานในฐานะกำแพงป้องกัน เยาวชนจากการเริ่มสูบ และลดการบริโภคในระยะยาว”

เมื่อพิจารณาทั้งภาพเศรษฐกิจ ภาพการคลัง และภาพประชากร จะเห็นว่าปี 2569 จะเป็นปีที่ไทยต้องเร่งปฏิรูปโครงสร้างภาษีเพื่อสร้างรายได้มากกว่าจะรอพึ่งพาการเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว หาสิ่งที่เป็น Quick Big Win และเลือกขึ้นมาก่อน เป็นก้าวแรกของรากฐานทางการคลังที่เข้มแข็ง