สินค้าอุปโภคบริโภคขึ้นราคากันอย่างต่อเนื่องเริ่มตั้งแต่ต้นปีไม่ว่าจะเป็น หมู ไก่ ไข่ ผักต่างๆ มะนาว น้ำมันปล์ม น้ำมันรถยนต์ที่ยังคงปรับตัวรายวัน ซึ่งแน่นอนว่า ผู้ที่ได้รับผลกระทบคือผู้บริโภคคนไทยทั้งประเทศนั้นเอง
เดือนเมษายนนี้ มีสินค้าที่จ่อจะปรับขึ้นราคาแน่ๆแล้วมี 3 รายการ ที่คนำไทยต้องเตรียมเงินในกระเป๋าไว้ให้พร้อม นั้นคือ
1.ก๊าชหุงต้มที่เมื่อต้นปีมีกระแสข่าวว่าจะมีการขอปรับราคาแต่ก็ถูกกระทรวงการพลังงานขอตรึงราคาไว้จนถึงวันที่31มีนาคมนี้ ดังนั้นตั้งแต่วันที่1เมษายนเป็นต้นไป ราคาก๊าซหุงต้นจะปรับขึ้นมาถังละ 15บาท โดยปัจจุบันราคาอยู่ที่ 318 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ซึ่งถ้าปรับมาถัละ15บา ราคาจะปรับเป็น 333บาทต่อ15 กิโลกรัม
2.บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แม้ว่าจะไม่กระทบกับผู้บริโภคโดยตรง แต่ที่กระทบอย่างหนีไม่ได้คือ ร้านค้าส่งและร้านค้าโชวห่วยที่ต้องซื้อในราคาที่แพงขึ้นหรือกำไรหายไป 25สตางค์ จากเดิมจะต้องได้กำไร 1บาท ก็จะเหลือกำไร75 สตางค์ต่อซอง หรือเพิ่มขึ้นลังละ10บาท เท่ากับเป็นการปรับขึ้นราคาขายส่งทางอ้อมกับร้านค้า
3. นมข้นหวาน ที่ล่าสุดจะขอปรับขึ้น2บาทต่อกระป๋อง เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบอย่างเหล็กมีราคาสูงขึ้น ซึ่งผู้ผลิตเองก็แบกรับต้นทุนมานาน โดยจะขอปรับราคาอีกลังละ 70-90 บาท เนื่องจากบรรจุภัณฑ์มีการปรับขึ้นราคา ซึ่งจะส่งผลให้ราคาขายปลีกปรับขึ้นกระป๋องละ 2 บาท
ทั้งนี้สินค้าอุปโภคบริโภคที่มีการปรับราคาไปก่อนหน้านี้ เช่น น้ำมันปาล์มบรรจุขวดขนาด 1 ลิตร ราคาขายปลีกอยู่ที่ขวดละ 62 บาท ปลากระป๋องบางยี่ห้ออยู่ที่ 18-22 บาทต่อกระป๋อง ไข่ไก่ปรับราคแผงละ9บาท หรือแม้แต่กลุ่มน้ำมันสำหรับรถยนต์ที่ปรับมีการปรับราคาขึ้นรายวัน
ดังนั้นในเดือนเมษายนนี้ ผู้บริโภคเองคงต้องเตรียมใจและรับมือกับราคสินค้าที่เพิ่มขึ้นในขณะที่เงินในกระเป๋ายังคงเท่าเดิม ซึ่งสอดคล้องกับที่ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) พระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยเดือน ก.พ.2565 สูงขึ้นร้อยละ 5.28 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปี 2564 และถือว่าสูงสุดในรอบ 13 ปี นับตั้งแต่สงครามอ่าวเปอร์เซีย
ซึ่งเป็นผลมาจากราคาสินค้าหมวดพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และหากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างยูเครนกับรัสเซียยังยืดเยื้อ จะยังส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้น