สงครามรัสเซีย-ยูเครน ราคาสินค้าเกษตร มีอะไรที่เพิ่มขึ้น เช็คที่นี่

06 มี.ค. 2565 | 03:12 น.

ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาด สงครามรัสเซีย-ยูเครน บวกมาตรการสนับสนุนของรัฐบาล ดันราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นทั้ง ข้าวเปลือกเจ้าหอมมะลิ น้ำตาลทรายดิบ มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปาล์มน้ำมัน ยางพาราดิบชั้น 3 และสุกร

นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.)เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส.คาดการณ์ว่า สงครามรัสเซีย-ยูเครนและมาตรการสนับสนุนของรัฐบาล รวมถึงมาตรการควบคุมการป้องกันการระบาดของโควิด-19 ทำให้ราคาสินค้าเกษตรเดือนมีนาคม 2565 ส่วนใหญ่มีแนวโน้ม ปรับเพิ่มขึ้น

นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.)

 

ราคาสินค้าเกษตรในเดือนมีนาคม 2565 ที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวสูงขึ้นได้แก่

  • ข้าวเปลือกเจ้าหอมมะลิ ราคา 11,503 - 11,850 บาท/ตัน  เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน  0.50 - 3.54%  เนื่องจากภาครัฐดำเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2564/65 เพื่อชะลอการขายข้าวที่ออกสู่ตลาดในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาข้าวหอมมะลิปรับตัวเพิ่มขึ้น 
  • น้ำตาลทรายดิบตลาดนิวยอร์ก ราคา 18.65 - 18.80 เซนต์/ปอนด์ (13.32-13.45 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 0.65 - 1.45% เนื่องจากสถานการณ์ สงครามรัสเซีย-ยูเครน กระทบต่ออุปทานน้ำมันเชื้อเพลิงของโลก

 

ประกอบกับ ความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้นหลังจากกิจกรรมการผลิตทั่วโลกฟื้นตัว ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เป็นผลให้ความต้องการใช้เอทานอลเพื่อเป็นพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ผู้ประกอบการโรงงานน้ำตาลมีการเพิ่มสัดส่วนการนำเข้าอ้อยไปผลิตเอทานอล ส่งผลให้ราคาน้ำตาลทรายปรับสูงขึ้น

 

 

 

  • ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ราคา 8.99 - 9.02 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 0.11 - 0.45% เนื่องจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน  กระทบต่อการส่งออกข้าวสาลี เพราะยูเครนเป็นแหล่งผลิตข้าวสาลีส่งออกที่มีศักยภาพสูงของโลก  ส่งผลให้ราคาข้าวสาลีนำเข้าสูงกว่าราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพิ่มมากขึ้น เพื่อใช้เป็นปัจจัยในการผลิตอาหารสัตว์ทดแทนข้าวสาลี

 

  • มันสำปะหลัง ราคา 2.33 - 2.37 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน  0.88 - 2.63%  เนื่องจากความต้องการใช้มันสำปะหลังของประเทศคู่ค้าสำคัญโดยเฉพาะจีนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากนโยบายด้านพลังงานที่ให้ความสำคัญกับพลังงานสะอาด ส่งผลให้มีความต้องการใช้มันสำปะหลังในอุตสาหกรรมเอทานอลเพิ่มขึ้น แม้ว่าจะเป็นช่วงที่มีผลผลิตออกสู่ตลาดมาก

 

  •  ปาล์มน้ำมัน  ราคา 8.58 - 9.02 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 3.12 - 8.41% เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจในต่างประเทศที่เริ่มฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ความต้องการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงสูงเกินกว่ากำลังการผลิต ประกอบกับสถานการณ์สงครามรัสเซีย - ยูเครน ส่งผลต่ออุปทานน้ำมันของโลก  ทำให้หันมาใช้พืชพลังงานอย่างปาล์มน้ำมันทดแทน  จึงทำให้ราคาปาล์มน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น 

 

  • ยางพาราแผ่นดิบชั้น 3 ราคา 56.27-57.45 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 0.18-2.28%  เนื่องจากผลผลิตยางพาราในตลาดลดลงจากการเข้าสู่ฤดูกาลปิดกรีดยางพาราในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ ภาคตะวันออก ประกอบกับประเทศผู้ผลิตยางพารารายใหญ่ของโลก ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย และเวียดนาม ประสบปัญหาการระบาดของโรคใบร่วงชนิดใหม่

 

  • สุกร ราคา 95.91 - 96.89 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 0.13 - 1.15% เนื่องจากราคาต้นทุนการผลิตสุกรเพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อน 14%  จากราคาอาหารสัตว์ที่ปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่กลางปีที่แล้ว และต้นทุนด้านการรักษาและควบคุมโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African swine fever: ASF) ที่สูง ส่งผลทำให้ราคาเนื้อสุกรปรับตัวเพิ่มขึ้น

 

ส่วนสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวลดลง ได้แก่ 

  • ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% ราคา 7,916 - 7,969 บาท/ตัน ลดลงจากเดือนก่อน 0.19 - 0.85%  เนื่องจากเป็นช่วงที่ผลผลิตข้าวนาปรังกำลังออกสู่ตลาดมากขึ้น  ประกอบกับข้าวของเวียดนามออกสู่ตลาดมากที่สุดช่วงกลางเดือนมีนาคม 2565 เช่นกัน 

 

  • ข้าวเปลือกเหนียว  ราคา 9,074-9,343 บาท/ตัน ลดลงจากเดือนก่อน  0.51-3.49%  เนื่องจากผลผลิตข้าวเหนียวนาปรังเริ่มออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น

 

 

  • กุ้งขาวแวนนาไม ราคา 176.11 - 176.92 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อน 1.71 - 2.16% เนื่องจากความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ทำให้มีมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด ส่งผลให้ความต้องการบริโภคกุ้งลดลง เช่นเดียวกับ

 

  •  โคเนื้อ ราคา 99.13 - 99.25 บาท/กก. ปรับลดลงจากเดือนก่อน 0.05 – 0.17%  เนื่องจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  ส่งผลให้ความต้องการบริโภคเนื้อโคในประเทศปรับตัวลดลง