นายยุทธ ชินสุภัคกุล ประธานกรรมการ บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (EP) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยในไตรมาส 3/2563 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 2563 มีกำไรสุทธิ 1,220.554 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,124.80 ล้านบาท หรือ 11.75 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 95.756 ล้านบาท ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรก สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 2563 มีกำไรสุทธิรวม 1,398.400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,071.904 ล้านบาท หรือ 3.28 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 326.496 ล้านบาท
ส่วนรายได้ไตรมาส 3/63 มีการเติบโตราว 4 เท่า เป็น 1,614 ล้านบาท ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2563 มีรายได้รวม 2,371.846 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,230.406 ล้านบาท หรือ 108% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,141.44 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากการดำเนินงาน จำนวน 1,063.934 ล้านบาท และเป็นกำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุนจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์รวม 1,307.912 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขายโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ในประเทศไทย ทั้ง 4 โรง ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าที่บ่อพลอย ขนาด 5 เมกะวัตต์ 2 โรง โรงไฟฟ้าลพบุรี ขนาด 5 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าปราจีนบุรี ขนาด 5 เมกะวัตต์ รวม 20 เมกะวัตต์ ให้กับบริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) (BCPG)
นอกจากนี้ ยังมีการขายโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น 3 โรง ซึ่งประกอบด้วย โครงการ Kurihara 1 จำนวน 9.52 เมกะวัตต์ โครงการ Kurihara 2 จำนวน 12.24 เมกะวัตต์ โครงการ Kyoto ขนาดกำลังการผลิต 9.99 เมกะวัตต์ รวม 31.75 เมกะวัตต์ ให้แก่บริษัท Blue Energy Capital GK และ Kurihara Taiyoukou Hatsuden GK ซึ่งเป็นนักลงทุนในประเทศญี่ปุ่น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ผลประกอบการในเชิงบวกยังได้รับปัจจัยหนุนจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง รับกระแสอี-คอมเมิร์ซที่มาแรงควบคู่ไปกับกระแส New Normal
ประธานกรรมการ EP ยังกล่าวด้วยว่า มั่นใจว่าแนวโน้มรายได้ของบริษัทฯในปีนี้จะเติบโตเกิน 30% จากปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 2,103.73 ล้านบาท สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่อง โดยได้รับปัจจัยหนุนจากธุรกิจโรงไฟฟ้าที่สร้างรายได้ Recurring Income ที่ชัดเจนและแน่นอน และมีรายได้เพิ่มขึ้นจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตสูงอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต
ขณะเดียวกันบริษัทฯยังอยู่ระหว่างการเข้าลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศเวียดนาม ขนาดกำลังการผลิต 160 เมกะวัตต์ มูลค่าลงทุนประมาณ 7 พันล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน คาดว่าจะเริ่มผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ในเดือนต.ค.ปีหน้า (2564) มีอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังของผู้ถือหุ้น (IRR) ในระดับ 20-25% ต่อโครงการ ซึ่งจะช่วยผลักดันธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนต่อไป