นายธัชชญาน์พล อภิมนต์เตชบุตร รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่าร่างกฎหมาย Ecodesign Regulation เป็นกฎหมายระดับสหภาพฯ ที่มีผลใช้บังคับกับประเทศสมาชิกทั้งหมดโดยตรง ซึ่งต่างจากกฎหมาย Ecodesign Directives ที่ประเทศสมาชิกต้องออกกฎหมายภายในของแต่ละประเทศสมาชิกให้สอดคล้องหรือรองรับกับกฎหมาย Ecodesign Directives
โดยกฎหมาย Ecodesign Directives จะใช้บังคับกับกลุ่มสินค้าผลิตภัณฑ์ที่ใช้พลังงานและเน้นเฉพาะประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ในขณะที่ร่างกฎหมาย Ecodesign Regulation จะครอบคลุมกลุ่มสินค้าผลิตภัณฑ์ที่ใช้พลังงานเดิมและกลุ่มสินค้าใหม่ตามแผนงาน
เช่น โทรศัพท์มือถือและ tablet รวมถึงกลุ่มสินค้าอื่น และมีการปรับมาตรการเพื่อความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเงื่อนไขฉลากพลังงาน โดยขณะนี้คณะกรรมาธิการยุโรปอยู่ระหว่างพัฒนาร่างกฎหมายและเปิดรับฟังความเห็นต่อข้อเสนอเบื้องต้นเกี่ยวกับกลุ่มสินค้าและมาตรการทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ภายใต้กฎหมาย Ecodesign Directives เดิม เพื่อจัดลำดับประเด็นสำคัญของร่างกฎหมาย
1. การระบุสินค้าและมาตรการเพิ่มเติม ได้แก่ (1) สินค้าขั้นสุดท้าย 12 รายการ ได้แก่ สิ่งทอและรองเท้า เฟอร์นิเจอร์ ผลิตภัณฑ์เซรามิก ยาง ผงซักฟอก เตียงและที่นอน น้ำมันหล่อลื่น สีและสารเคลือบเงา ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ของเล่น อวนและเครื่องมือตกปลา และผลิตภัณฑ์อนามัยแบบดูดซับ และสินค้าขั้นกลาง 7 รายการ ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า โลหะที่ไม่ใช่เหล็ก อะลูมิเนียม เคมีภัณฑ์ พลาสติกและโพลิเมอร์ กระดาษ เยื่อกระดาษ กระดาษแข็ง และแก้ว และ (2) มาตรการทั่วไป 3 รายการ ได้แก่ ความทนทาน ความสามารถในการรีไซเคิล ส่วนประกอบที่รีไซเคิลหลังการบริโภค
2. ลำดับความสำคัญของกลุ่มสินค้าที่ควรดำเนินการก่อน
3. ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและมาตรการทั่วไปที่ควรกำหนดภายใต้ Ecodesign Regulation
4. การปรับปรุงลักษณะสินค้าจากมุมมองด้านสิ่งแวดล้อม ระดับของรายละเอียดสินค้าและมาตรการทั่วไปที่ควรกำหนดภายใต้ Ecodesign Regulation
5. ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและการหมุนเวียนในห่วงโซ่คุณค่า และความเป็นไปได้ในการปฏิบัติตามร่างกฎหมาย
ทั้งนี้ EU จะนำความเห็นและข้อมูลดังกล่าวไปหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียระยะแรกในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 และจะเปิดรับฟังความเห็นและหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอีกครั้งก่อนการกำหนดกฎสินค้าในช่วงต้นปี 2567
ทั้งนี้สถิติกรมศุลกากรในปี 2565 พบว่า ไทยมีมูลค่าการส่งออกสินค้าไปยัง EU ทั้งหมดประมาณ 790 พันล้านบาท โดยเป็นสินค้าที่ต้องมี Ecodesign หรืออาจต้องมี Ecodesign เพื่อวางจำหน่ายใน EU คิดเป็นมูลค่าประมาณ 375 พันล้านบาท เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ 12.83% เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ 5.90% ผลิตภัณฑ์ยาง 5.37% แผงวงจรไฟฟ้า 4.37% หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ 2.79% เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่นๆ 2.68% พลาสติก 2.34% เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ 2.30% แผงสวิตซ์และแผงควบคุมไฟฟ้า 2.19% เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 2.04% เครื่องนุ่งห่ม 2%เคมีภัณฑ์ 1.58% และเครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์ และส่วนประกอบ 1.08% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าไทยไป EU