นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงการส่งออกของไทยเดือนมกราคม 2563 ว่า กลับมาขยายตัวเป็นบวกในรอบ 6 เดือน ปัจจัยหลักจากการส่งออกน้ำมันเพิ่มขึ้นหลังจากโรงกลั่นปิดทำการเมื่อปลายปี 2562 และเริ่มกลับมาเปิดทำการตามปกติ รวมถึงการส่งออกทองคำที่สูงขึ้นตามราคาตลาดโลก โดยส่งออกเดือนมกราคม มีมูลค่ารวม 19,626 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 3.35% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การนำเข้า มีมูลค่า 21,181 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ติดลบ 7.86% ส่งผลให้การค้าของไทยในเดือนมกราคมขาดดุล 1,556 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
พิมพ์ชนก วอนขอพร
ทั้งนี้ทิศทางการส่งออกของไทยสะท้อนแนวโน้มเชิงบวกจากการลงนามข้อตกลงทางการค้าระยะแรก (เฟส 1)ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ช่วยให้บรรยากาศการค้าดีขึ้นและคลายความกังวล และสินค้าที่ได้รับผลกระทบภายใต้มาตรการสงครามการค้าเช่น เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ กลับมาขยายตัวทั้งในตลาดสหรัฐฯ และจีน
ส่วนสินค้าดาวรุ่งของไทยในภาคการผลิตจริง (Real Sector) หลายรายการ เช่น ไก่สดแช่เย็น แช่แข็ง อาหารสัตว์เลี้ยง ผลไม้กระป๋องและแปรรูป สิ่งปรุงรสอาหาร นมและผลิตภัณฑ์นม และเครื่องดื่ม ยังคงขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง รวมถึงยอดส่งออกยางพารา และผลิตภัณฑ์ยางในตลาดตุรกี ปรับตัวสูงขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเร่งรัดและติดตามการส่งออกสินค้าจากการลงนาม MOU โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยการส่งออกยางพารากลับมาเป็นบวกในรอบ 5 เดือน ขยายตัวในตลาดตลาดจีน มาเลเซีย บราซิล ตุรกี และเยอรมนี
นอกจากนี้ สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรอื่นๆ ที่ยังขยายตัวได้ดี เช่น น้ำตาลทราย ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป นมและผลิตภัณฑ์นม และสิ่งปรุงรสอาหาร สินค้าอุตสาหกรรม ที่ยังคงเติบโตดีต่อเนื่อง อาทิ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน และเครื่องสำอาง สบู่และผลิตภัณฑ์รักษาผิว ในรายตลาด การส่งออกไปตลาดสำคัญมีสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกไป 2 ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่สุดของโลกอย่างสหรัฐฯ ขยายตัว 9.9% และจีนที่ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 (ขยายตัว 5.2%) เช่นเดียวกับตลาดไต้หวัน ขยายตัว 13% และตะวันออกกลาง มีสัญญาณเติบโตต่อเนื่อง ที่ 2%
ส่วนการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ติดลบที่ 6.3% โดยสินค้าที่ยังขยายตัวดี ได้แก่ น้ำตาลทราย ขยายตัว 18.6% ยางพารา ขยายตัวที่ 12% ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป ขยายตัว 9.5% เป็นต้น ส่วนการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมกลับมาขยายตัวที่ 5.2% สินค้าที่ยังขยายตัวดี ได้แก่ ทองคำ ขยายเกือบทุกตลาดที่ 299.6% รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ ขยายตัวเกือบทุกตลาด ขยายตัว 35.4% เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน ขยายตัว 29.9% เป็นต้น
ในขณะที่ตลาดส่งออกสำคัญหลายตลาดกลับมาขยายตัว โดยการส่งออกไปยังตลาดหลักขยายตัว 3.1% เนื่องจากการส่งออกไปสหรัฐฯ ขยายตัว 9.9% และสหภาพยุโรป (15) ขยายตัว0.6% ด้านการส่งออกไป ตลาดศักยภาพสูงขยายตัว 0.6% เป็นผลมาจากการส่งออกไปตลาดจีนขยายตัว 5.2% และตลาดอาเซียน (5) กลับมาขยายตัวของ 3.8%
อย่างไรก็ตามการส่งออกไปตลาดเอเชียใต้ ปรับตัวลดลง 4.6% และ CLMV ปรับตัวลดลง 0.7% สำหรับตลาดศักยภาพระดับรองติดลบที่ 6.6% ตามการส่งออกไปตลาดทวีปออสเตรเลีย แอฟริกา ลาตินอเมริกา และรัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS ที่ลดลง
สำหรับแนวโน้มและมาตรการส่งเสริมการส่งออกปี 2563 แม้ว่าการลงนามข้อตกลงทางการค้าสหรัฐฯ-จีนในเฟสที่ 1 ช่วยให้บรรยากาศการค้าดีขึ้นบ้าง สะท้อนจากการส่งออกไทยที่กลับมาขยายตัวในเดือนมกราคม อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกและการส่งออกไทยยังเผชิญแรงกดดันจากสถานการณ์ไวรัสโคโรนา(โควิด-19) ที่ชะลอการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลกในระยะสั้น-กลาง รวมถึงปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ และราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ
อย่างไรก็ดีรัฐบาลจีนมีการดำเนินการอย่างรวดเร็ว เป็นรูปธรรม โดยจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัส Covid-19 รายวันในจีนเริ่มลดลง คาดว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ในไม่ช้า และประเมินว่าทางการจีนจะทยอยออกมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหลังจากนี้
ส่วนประเด็นค่าเงินนั้น ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลงตั้งแต่ช่วงต้นปี อาจช่วยลดแรงกดดันสำหรับสินค้าที่มีการแข่งทางด้านราคาสูงได้บ้าง ทั้งนี้ ผู้ส่งออกควรทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนร่วมด้วยเพื่อหลีกเลี่ยงปัจจัยลบในภาวะที่มีความผันผวนสูง (มูลค่าการส่งออกของไทยในเดือนมกราคม 2563 ในรูปเงินบาท มีมูลค่า 587,494 ล้านบาท ขยายตัวลดลง 4.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 643,511 ล้านบาท ลดลง 14.8% ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้า 56,017 ล้านบาท)
ทั้งนี้ในภาวะที่มีปัจจัยท้าทายหลายประการในหลายตลาด ความหลากหลายของสินค้าส่งออกไทยที่กระจายในขั้นตอนต่างๆ ทั้งวัตถุดิบ สินค้าขั้นกลาง และสินค้าขั้นสุดท้าย และการกระจายตัวของตลาดส่งออก จะช่วยประคับประคองการส่งออกไทยในระยะนี้ได้ดี เมื่อเทียบกับประเทศที่มีโครงสร้างการส่งออกที่พึ่งพาสินค้าหรือตลาดส่งออกจำกัด และในช่วงที่หลายประเทศให้ความสำคัญด้านความปลอดภัยของสุขอนามัย จึงเป็นโอกาสดีในการขยายตลาดส่งออกสินค้ากลุ่มอาหาร ซึ่งสินค้าไทยมีภาพลักษณ์ดีและได้รับมาตรฐานระดับสากล นอกจากนี้การรุกตลาดบนแพลตฟอร์มออนไลน์ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งเพื่อส่งเสริมการค้าที่ตอบสนองรูปแบบการดำเนินชีวิตสมัยใหม่ โดยเฉพาะในช่วงที่ผู้บริโภคมีความกังวลและระมัดระวังการออกไปที่สาธารณะมากขึ้น
สำหรับการส่งเสริมการส่งออกในปี 2563 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีแผนนำคณะกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชนเดินทางไปเปิดตลาด ตามกลยุทธ์ รักษาตลาดเดิม เปิดตลาดใหม่ ฟื้นฟูตลาดเก่า อย่างน้อย 18 ประเทศ เช่น แอฟริกาใต้ ตะวันออกกลาง รัสเซีย โดยจะมีการประชุมทูตพาณิชย์ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ นี้ เพื่อประเมินสถานการณ์การส่งออกไทยในปีนี้อีกครั้ง”