บทบาทของจุลินทรีย์กับมะเร็งในอนาคต

20 ก.ย. 2568 | 03:45 น.
อัปเดตล่าสุด :20 ก.ย. 2568 | 03:46 น.

บทบาทของจุลินทรีย์กับมะเร็งในอนาคต คอลัมน์ ชีวิตบั้นปลายของชายชรา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

KEY

POINTS

  • จุลินทรีย์สามารถใช้เป็น "ตัวชี้วัด" ในการตรวจหามะเร็งระยะเริ่มต้น โดยวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของจุลินทรีย์ในลำไส้จากตัวอย่างอุจจาระ
  • มีการวิจัยเพื่อใช้จุลินทรีย์เป็น "ผู้ช่วย" ในการรักษามะเร็ง โดยสามารถผลิตสารกำจัดเซลล์มะเร็งหรือกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ต่อสู้กับมะเร็ง
  • เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น "Lab-on-a-Chip" ถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับและพัฒนายา ซึ่งจะนำไปสู่การแพทย์แม่นยำสำหรับการรักษามะเร็งในอนาคต

หลังจากร่ายยาวเรื่องของจุลินทรีย์ในร่างกายเรามาสองสัปดาห์ อาจจะมีคำถามต่อมาว่า แล้วจุลินทรีย์ในร่างกายของมนุษย์เรา เขาเป็นมิตรหรือเป็นศัตรูของเรากันแน่? เพราะเท่าที่ฟังจากโฆษณาของการขายสินค้า ที่เราได้ยินเรื่องจุลินทรีย์กันบ่อยๆทั้งในนมโยเกิร์ต นมเปรี้ยว หรืออาหารเสริมต่างๆ แต่เรารู้หรือไม่ว่าจุลินทรีย์ไม่ได้มีประโยชน์แค่เรื่องการย่อยอาหารเท่านั้น ตอนนี้วงการแพทย์กำลังหันมามองจุลินทรีย์ในฐานะ "ผู้ช่วย" คนใหม่ในการต่อสู้กับมะเร็งและอีกหลายๆโรค โดยเฉพาะการใช้มันเป็นเครื่องมือตรวจจับและรักษาครับ

ในร่างกายเราทุกคน ต่างก็มีจุลินทรีย์อาศัยอยู่มากมายนับล้านๆตัว ซึ่งเราเรียกมันว่า “ไมโครไบโอม” (Microbiome) เจ้าพวกนี้อยู่กับเรามานาน และมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน ซึ่งบางตัวก็ช่วยให้เรามีสุขภาพดี แต่บางตัวก็เป็นตัวการทำให้เกิดโรคได้ และเมื่อเราพูดถึงมะเร็ง จะพบว่าจุลินทรีย์มีบทบาทสำคัญอยู่ 2 ด้านหลักๆด้วยกัน นั่นก็คือ จุลินทรีย์ในฐานะ “ตัวชี้วัด” เราลองนึกภาพว่าลำไส้ของเราเป็นเหมือนป่าขนาดใหญ่ ที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิด ถ้าป่านี้เป็นปกติ สัตว์และพืชก็จะอยู่กันอย่างสมดุล แต่ถ้ามีไฟป่า(เปรียบเสมือนมะเร็ง)เกิดขึ้น สภาพแวดล้อมก็จะเปลี่ยนไป ทำให้สัตว์บางชนิดเพิ่มขึ้นผิดปกติ หรือบางชนิดก็หายไป ซึ่งมะเร็งที่อาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่ ก็เหมือนกันครับ เมื่อมีเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นในลำไส้ สภาพแวดล้อมภายในจะเปลี่ยนไป ทำให้จุลินทรีย์บางชนิดเจริญเติบโตได้ดีเป็นพิเศษ เช่น แบคทีเรียที่ชื่อ Fusobacterium nucleatum ซึ่งปกติมีจำนวนน้อย แต่จะเพิ่มขึ้นอย่างมากในลำไส้ของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ การเพิ่มขึ้นของมันไม่ได้เป็นแค่ผลลัพธ์ แต่ยังอาจเป็นตัวเร่งให้มะเร็งเติบโตเร็วขึ้นด้วยนั่นเอง นักวิทยาศาสตร์จึงใช้หลักการนี้ในการตรวจหามะเร็ง โดยการเก็บเอา “ตัวอย่างอุจจาระ” มาวิเคราะห์หา “ลายเซ็นจุลินทรีย์”(Microbial Signature) ที่บ่งบอกถึงการมีอยู่ของเซลล์มะเร็ง ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายและไม่เจ็บปวดเลยครับ

ข้อดีของการตรวจแบบนี้ ในปัจจุบันเป็นเรื่องที่ง่ายและไม่เจ็บ เพราะแค่เก็บตัวอย่างอุจจาระ ไม่ต้องผ่าตัดหรือส่องกล้อง ก็สามารถทราบได้ โดยตรวจได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ช่วยให้เราเจอความผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ซึ่งเป็นช่วงที่การรักษามีโอกาสหายขาดสูง ไม่ต้องรอให้มันลุกลามไปจนต้องจากโลกนี้ไปครับ ส่วนบทบาทหรือหลักการที่สอง จุลินทรีย์ในฐานะ “ผู้ช่วยนักรบ” นอกจากใช้ตรวจหาแล้ว นักวิทยาศาสตร์ยังมองว่า จุลินทรีย์บางชนิดสามารถช่วยรักษามะเร็งได้อีกด้วยครับ ลองจินตนาการว่าจุลินทรีย์เหล่านี้เป็นเหมือน “พลทหารตัวจิ๋ว” ที่เราสามารถสั่งให้มันไปจัดการกับเซลล์มะเร็งได้ ซึ่งก็ทำได้หลายวิธี เช่น ผลิตเป็นสารพิษกำจัดมะเร็ง ซึ่ง จุลินทรีย์บางตัว ก็สามารถผลิตสารบางอย่าง ที่สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้โดยตรง หรือนำจุลินทรีย์ตัวดีมาปลุกเป็นกองทัพภูมิคุ้มกัน เพราะบางตัวสามารถไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (ซึ่งเปรียบเหมือนกองทัพทหารหลักของเรา) ให้เข้ามาโจมตีเซลล์มะเร็งอย่างดุดัน....แหม พูดเป็นหนังการ์ตูนไปเลยครับ

การวิจัยของนักวิทยาศาสตร์การแพทย์หลายๆประเทศ ต่างก็ได้กำลังพยายามหาวิธีนำจุลินทรีย์ที่ดีเหล่านี้มาใช้ในการรักษาโรคมะเร็งกัน ซึ่งอาจมาในรูปของยาจุลินทรีย์ หรือการปรับเปลี่ยนสมดุลของจุลินทรีย์ในร่างกาย ให้เหมาะสมกับการรักษามะเร็งแต่ละชนิดกันอย่างขะมักเขม้นกันเลยครับ ผมเชื่อว่าอีกไม่นานเกิดรอ เราคงได้เห็นยาแก้โรคมะเร็ง ในรูปของแคปซูลที่ทำมาจากจุลินทรีย์อย่างแน่นอนเลยครับ

ในปัจจุบันนี้เท่าที่ผมเคยอ่านบทวิจัยฯเจอ เขาจะใช้เทคโนโลยีอะไรมาช่วยให้การตรวจและรักษาด้วยจุลินทรีย์เป็นจริงได้? คำตอบก็คือ “แผ่นเซมิคอนดักเตอร์” หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อ “ชิป” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของคอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถือของเรานั่นเองครับ นักวิจัยกำลังพัฒนาชิปขนาดเล็กจิ๋ว ที่เรียกว่า “Lab-on-a-Chip” ซึ่งเปรียบเสมือนห้องปฏิบัติการขนาดจิ๋ว ที่รวมทุกอย่างไว้บนชิปเพียงแผ่นเดียว เจ้าชิปนี้ทำหน้าที่เป็น “เครื่องตรวจจับ” ที่มีความแม่นยำสูงมาก เราลองนึกภาพดูว่า เขานำชิปเล็กๆ ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ มาวางลงบนตัวอย่างเลือดหรืออุจจาระของผู้ป่วย บนชิปจะมีเซ็นเซอร์ขนาดจิ๋ว ที่ทำจากเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งไวต่อการเปลี่ยนแปลงทางไฟฟ้าเมื่อมี RNA ของแบคทีเรียที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งลอยผ่านมา เซ็นเซอร์ก็จะตรวจจับได้และส่งสัญญาณไฟฟ้าออกมาทันที หนึ่งหยดของเลือด สามารถมองเห็น RNA จากภาพจอคอมพิวเตอร์ ที่รับสัญญาณเหล่านี้จะถูกส่งมาไปประมวลผล เพื่อบอกเราว่า ในตัวอย่างนั้น มีจุลินทรีย์ชนิดที่ผิดปกติหรือไม่? และมีปริมาณมากน้อยแค่ไหน? นี่คือความล้ำสมัยของนวัตกรรมหรือ Innovation นั่นเองครับ

นอกจากนี้ นักวิจัยฯยังได้มีการพัฒนาชิปที่เรียกว่า “Organ-on-a-Chip” ซึ่งเป็นการสร้างแบบจำลองของอวัยวะมนุษย์ เช่น ลำไส้ หรือตับ ไต ปอด ฯลฯ ให้มีขนาดเท่าชิป เพื่อให้นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ สามารถใส่เซลล์มะเร็งและจุลินทรีย์เข้าไปในชิปนั้น และศึกษาว่าจุลินทรีย์ชนิดไหน ที่สามารถต่อสู้กับมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด เราจะเห็นว่า เทคโนโลยีเหล่านี้ ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการวิจัย แต่ก็เปิดประตูสู่โลกใหม่ของการแพทย์ที่เรียกว่า “การแพทย์แม่นยำ” (Precision Medicine) ซึ่งเราจะสามารถตรวจคัดกรองมะเร็งได้ง่ายและบ่อยขึ้น ช่วยให้เราเจอมะเร็งได้ตั้งแต่ยังเป็นเม็ดเล็กๆ อีกทั้งยังมีการวางแผนการรักษาแบบเฉพาะบุคคล หมอจะสามารถเลือกชนิดของจุลินทรีย์ หรือยาที่เหมาะสมที่สุดกับผู้ป่วยแต่ละคน เพื่อให้ทำการรักษาผู้ป่วย อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และมีผลข้างเคียงน้อยที่สุดอีกด้วยครับ ผมเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้นี้ เราอาจจะได้เห็นการใช้จุลินทรีย์ เป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกัน ตรวจหา และรักษามะเร็ง ซึ่งจะช่วยให้ผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ผมเคยพูดเสมอว่า ในอนาคตเราอาจจะมีชีวิตสูงมากถึง 120 ปีก็เป็นไปได้ครับ