KEY
POINTS
เมื่อวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา เราคงได้ทราบกันถ้วนหน้า ถึงข่าวการยุบสภาฯของรัฐบาลไทยกันแล้วทุกท่านนะครับ เชื่อว่าคงไม่มีใครตกข่าวอย่างแน่นอน ในขณะที่นักการเมืองทั้งหลายของไทยเรา ช่วงนี้คงวิ่งหาเสียงกันฝุ่นตลบ ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ผมก็ได้เข้าไปประชุมที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยถี่มากขึ้น เพราะเป็นช่วงปลายปีที่คณะกรรมการของสภาอุตสาหกรรม ต้องมีการสรุปผลงานของปีที่ผ่านมา และต้องมีการวางแผนงานในปีหน้าที่จะถึงนี้ด้วย จึงได้เห็นนักการเมืองจากหลายพรรคเดินทางมาที่สภาอุตสาหกรรมฯ เพื่อเข้ามาหาเสียงสนับสนุนกันแทบไม่ขาดสายเลยทีเดียวครับ ก็เป็นสีสันทางการเมืองที่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปแล้วละครับ
ในขณะที่ประเทศเมียนมาเอง ก็เข้าสู่โหมดของการเตรียมการเลือกตั้งเช่นเดียวกัน แต่การเลือกตั้งของเมียนมา จะเร็วกว่าของประเทศไทย กล่าวคือ เขาได้เริ่มมีการการเลือกตั้งล่วงหน้าไปแล้วก่อนหน้านี้แล้ว โดยได้เริ่มกันตั้งแต่กลางเดือนที่ผ่านมาแล้ว ในขณะที่การเลือกตั้งจริง จะเริ่มกันในวันที่ 28 ธันวาคมที่จะถึงนี้ มีเสียงจากหลายคนบอกว่า “ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้” แต่ส่วนตัวผมยังเชื่อมั่นว่า ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนครับ
เพียงแต่จะไม่ครอบคลุมทั้งประเทศเท่านั้นเอง และการเลือกตั้งครั้งนี้ของเมียนมา ไม่ได้มีความคึกคัก เหมือนสามครั้งที่ผ่านมา เพราะพรรคการเมืองได้ลดลงไปมากกว่าทุกครั้ง ด้วยเหตุผลที่ว่า ในช่วงที่ทางการเมียนมาประกาศให้ทุกพรรคการเมือง เข้ามาลงชื่อสมัครเข้าร่วมในการเลือกตั้ง ที่ทำกันก่อนหน้าแล้วปีกว่า ก็มีบางพรรคการเมือง ไม่ได้ไปลงชื่อ ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป
ที่สำคัญคือ พรรคการเมืองที่มีความสำคัญกับการเมืองของเมียนมา เช่น พรรค NLD ของท่านดอร์ ออง ซาน ซูจี ผู้นำทางด้านจิตวิญญาณของพรรค (ท่านดอร์ ออง ซาน ซูจี) หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคส่วนใหญ่ ได้ต้องคดีความ บางคนก็ติดคุกติดตะราง บางคนก็หลบหนีเข้าป่าไป บางคนก็หายสาบสูญไป บางคนก็หลบออกนอกประเทศ ไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นก็มีด้วยเช่นกัน จนทำให้ช่วงที่รัฐบาลเรียกให้มาลงชื่อ ก็ไม่สามารถมาได้ “ด้วยเหตุจำเป็นอันมิอาจก้าวล่วงได้” ทำให้หมดสิทธิ์ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปได้นั่นเองครับ
การเลือกตั้งครั้งที่จะถึงนี้ ยังเป็นข้อถกเถียงกันอยู่ว่า “มีความเป็นประชาธิปไตยหรือไม่?” เราคงมิบังอาจไปก้าวล่วงได้ เพราะนั่นไม่ใช่ดินแดนในประเทศไทยเรา ก็ได้แต่จับตามอง โดยส่วนตัวผมคิดว่า การมีการเลือกตั้ง อาจจะไม่ใช่คำตอบว่าเป็น “ประชาธิปไตย” เพราะแต่ละประเทศ ย่อมมีความเป็นประชาธิปไตยที่แตกต่างกันออกไป แล้วแต่บริบทของรัฐธรรมนูญของประเทศนั้นๆ ความท้าทายของประเทศเมียนมา ที่ต้องเผชิญในการสร้างระบอบการปกครองที่มั่นคง โดยตั้งคำถามถึงความเหมาะสมของ “ประชาธิปไตยแบบสากล” ย่อมมาจากข้อเสนอทางออกที่สอดคล้องกับบริบททางประวัติศาสตร์ และชาติพันธุ์ของประเทศเมียนมาเองครับ
ต้องบอกว่าแท้ที่จริงแล้วปัญหาประชาธิปไตยของเมียนมา ไม่ได้อยู่ที่ “การเลือกตั้ง” เพียงอย่างเดียว แต่ยังอยู่ที่ “รากฐาน” ของความไม่ไว้วางใจ ในระบบเลือกตั้งและเครื่องมือในการจัดการเลือกตั้ง ที่รัฐบาลเมียนมาเอง ก็ได้ลงทุนไปกับเครื่องลงคะแนนเสียง(EVM) ในระบบที่ทันสมัยที่สุด เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้เคียงในภูมิภาคนี้ครับ
ซึ่งเมื่อเราพูดถึงประชาธิปไตย สิ่งแรกที่คนส่วนใหญ่นึกถึงคือ “การเลือกตั้ง” แต่ในเห็นส่วนตัวของผมกลับเห็นว่า ประเทศเมียนมาปัญหาไม่ได้อยู่ที่วิธีการลงคะแนนเสียง แต่อยู่ที่ “โครงสร้างพื้นฐาน” ของประเทศเป็นหลัก แม้การใช้เครื่องลงคะแนนเสียงอัตโนมัติ (EVM) ที่รัฐบาลเมียนมาพยายามนำมาใช้ในการเลือกตั้งครั้งถัดไปนั้น ถูกมองว่าเป็นความพยายามที่ชัดเจน ในการที่จะควบคุมมิให้มีการบิดเบือนผลลัพธ์ได้ง่ายๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นานาชาตินั่นเอง
การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น อาจจะไม่สามารถครอบคลุมทุกพื้นที่ได้จริง เนื่องจากยังมีสงครามและความขัดแย้งติดอาวุธในหลายรัฐชาติพันธุ์ การละเว้นพื้นที่เหล่านี้จากการเลือกตั้ง จึงอาจจะไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยแบบสากลทั่วไป นั่นคือไม่สามารถทำให้เกิด “หนึ่งคน หนึ่งเสียง” เมื่อประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่ขัดแย้ง ไม่สามารถใช้สิทธิได้ ผลลัพธ์ที่ออกมาจึงอาจจะไม่สามารถเรียกได้ว่า เป็นเจตจำนงของคนทั้งประเทศอย่างแท้จริง แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้จัดการเลือกตั้งเลยครับ
สิ่งหนึ่งที่เป็นความท้าทายของเมียนมา คือความเหลื่อมล้ำทางโครงสร้างพื้นฐานและปัญหาชนชาติพันธุ์ ที่เกิดจากอุปสรรคทางภูมิศาสตร์และการสื่อสาร สภาพถนนหนทางที่ทุรกันดาร การเข้าถึงไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตที่จำกัดในพื้นที่ชนบทและรัฐชาติพันธุ์ ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการรับรู้ข้อมูล ประชาชนจำนวนมากไม่มีโอกาสเข้าถึงนโยบาย หรือข้อมูลข่าวสารอย่างเท่าเทียม อาจทำให้การตัดสินใจทางการเมือง ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่รอบด้าน หรืออาจจะถูกชี้นำโดยผู้นำท้องถิ่น หรือความขัดแย้งทางอาวุธมากกว่า
อีกประการหนึ่ง ที่สำคัญมากๆ ก็คือปัญหาการศึกษาและภาษา ประเทศเมียนมามีชนชาติพันธุ์มากกว่า 54 เผ่าพันธุ์ โดยมีภาษาและการเข้าถึงการศึกษาที่แตกต่างกัน ความไม่เสมอภาคในการพูด การอ่าน และการเขียน ทำให้การสร้างวาทกรรมทางการเมืองที่เป็น “หนึ่งเดียว” และการมีส่วนร่วมในกระบวนการประชาธิปไตยที่ซับซ้อนเป็นไปได้ยาก นี่คือปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ทำให้ประชาธิปไตยแบบสากลไม่สามารถหยั่งรากลึกได้นั่นเอง
หากเราจะมองไปถึงรากเหง้าของปัญหา เราอาจจะสามารถพูดได้ว่า ประเทศเมียนมาถูก “วางยา” มาตั้งแต่สมัยการเจรจาสนธิสัญญาปางหลวง ที่ทำให้ความขัดแย้งที่ฝังรากลึกในเมียนมา ที่ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่มีรากฐานมาจากช่วงที่ประเทศเมียนมาได้รับเอกราช มรดกของอังกฤษและสนธิสัญญาปางหลวง (1947) การที่อำนาจอาณานิคมเข้ามามีบทบาทในการร่างสนธิสัญญาปางหลวง และมีการให้สัญญาที่จะมอบ “สิทธิ์ในการแยกตัวเป็นอิสระ” ให้แก่ชนกลุ่มน้อยหลังได้รับเอกราช 10 ปี ได้กลายเป็น “ระเบิดเวลา” ทางการเมือง การวางหมากที่ซับซ้อนนี้ทำให้เกิด “ความไม่ไว้วางใจ” อย่างถาวร ระหว่างรัฐบาลกลางที่นำโดยชนเผ่าชาวพม่า (Bamar) กับกลุ่มชนชาติพันธุ์ต่างๆ มาจนถึงปัจจุบัน เพราะแต่ละฝ่ายต่างยึดมั่นในสิทธิ์ของตนเอง
การพยายามนำความหลากหลายทางชาติพันธุ์ มาอยู่ภายใต้ รัฐบาลกลางเดียวที่มาจากการเลือกตั้ง จึงมักถูกมองว่าเป็นเพียงการ “ครอบงำ” จากกลุ่มชาติพันธุ์หลัก(พม่า) ซึ่งเป็นการขัดต่อหลักการที่แท้จริงของปางหลวง และนำไปสู่สงครามกลางเมืองที่ยาวนานที่สุดในโลกในขณะนี้ จึงยากที่จะจบสิ้นง่ายๆ แม้จะมีความพยายามนำปัญหาดังกล่าว นำมาสู่บนโต๊ะเจรจาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเสียทีนั่นเองครับ
สำหรับการเลือกตั้งครั้งถัดไป ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 28 ธันวาคมนี้ ก็เป็นหนึ่งในความคาดหวังว่า จะนำพา “สันติภาพ” กลับมาสู่ประเทศเมียนมาเสียที แม้ว่าความท้าทายยังคงมีเหลืออยู่อีกเยอะ แต่นี่อาจจะกระตุ้นต่อมจิตใต้สำนึก ให้กลุ่มคนที่ “รักชาติ” ของเมียนมาทั้งหลาย ให้ช่วยกันกลัดกระดุมเม็ดสำคัญนี้ ให้ประสบความสำเร็จโดยเร็ว ขอเพียงชาติอื่นๆ ที่ไม่ใช่เมียนมา อย่าเข้ามา “จุ้นหรือส.ท.ร.” ควรจะปล่อยให้ชาวเมียนมาหาทางออกด้วยตนเอง น่าจะยังมีความหวังที่ดีได้ครับ
อาทิตย์หน้า ผมจะนำเอาระบอบการปกครอง ที่น่าจะเหมาะสมกับบริบทของประเทศเมียนมา มาเล่าให้อ่านเล่นนะครับ