KEY
POINTS
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมมีอาคันตุกะจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนมาเยี่ยมเยือน 2 ท่าน หนึ่งในนั้นเป็นศาสตราจารย์กู้ จากมหาวิทยาลัยชื่อดังของประเทศเขา ท่านได้ค้นคว้าเรื่องของการนำเอาจุลินทรีย์ (Microbiomes) จากกระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่ของมนุษย์ มาวิเคราะห์เพื่อหาสาเหตุการเกิดโรคชนิดต่างๆของมนุษย์ ซึ่งได้ค้นพบเซลล์ของโรคต่างๆ โดยเฉพาะ “โรคภูมิแพ้” ที่ค้นพบจากเอนไซม์ (Enzyme) หลังจากที่ท่านได้ฉายภาพสไลด์ให้ผมดู ผมรู้สึกตื่นเต้นและอยากรู้อยากเห็นอย่างยิ่ง จึงได้ไปหาอ่านต่อจากบทวิจัยต่างๆ ซึ่งมีเยอะมากๆจนทำให้คืนนั้นอดหลับอดนอนเลยทีเดียวครับ
จากผลงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ชาวจีน พบว่าในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา จำนวนผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ทั่วโลก ได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีทั้งโรคหอบหืด ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ภูมิแพ้อากาศ และภาวะแพ้อาหาร สาเหตุหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์ท่านนั้นให้ความสนใจคือ “วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป” ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยาปฏิชีวนะมากเกินไป อาหารแปรรูป การอยู่อาศัยในเมืองที่สะอาดเกินไป จนทำให้ร่างกายของเราแทบไม่ได้สัมผัสกับจุลินทรีย์ที่หลากหลายเหมือนในอดีต ผลที่ตามมาก็คือ ระบบภูมิคุ้มกันของคนเรา ขาดการฝึกฝนและเกิดการตอบสนองเกินความจำเป็นต่อสิ่งที่ไม่เป็นอันตราย เช่น ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ หรือโปรตีนในอาหาร เป็นต้น นี่คือที่มาของ “สมมติฐานสุขอนามัย” (Hygiene Hypothesis) ซึ่งก็สามารถอธิบายได้ว่า ความสะอาดที่มีมากจนเกินไป อาจเป็นเหตุให้เกิดอาการภูมิแพ้เพิ่มขึ้น และนี่เองที่ทำให้ Microbiome หรือกลุ่มจุลินทรีย์ในร่างกายมนุษย์ถูกจับตามอง ในฐานะกุญแจสำคัญในการรักษาและป้องกันโรคภูมิแพ้
เรามาดูกันว่า Microbiome คืออะไร? และทำไมถึงมีความสำคัญ? ร่างกายมนุษย์ของเรามีเซลล์จุลินทรีย์อาศัยอยู่มากกว่าจำนวนเซลล์ของร่างกายเสียอีก ซึ่งแน่นอนว่าจะมีทั้งจุลินทรีย์ที่ดีและที่เลว โดยแหล่งที่สำคัญที่สุดคือ ลำไส้ รองลงมาคือ ผิวหนัง ช่องปาก และทางเดินหายใจ จุลินทรีย์เหล่านี้ประกอบด้วยแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา และจุลินทรีย์ชนิดอื่นๆ แต่ละชนิดมีบทบาทแตกต่างกัน เช่น ช่วยย่อยอาหาร สร้างวิตามิน ปกป้องเยื่อบุจากเชื้อก่อโรค และที่สำคัญคือการปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันครับ
เมื่อลำไส้มีจุลินทรีย์ที่หลากหลายและสมดุล ระบบภูมิคุ้มกันก็จะเรียนรู้ที่จะตอบสนองอย่างเหมาะสม ไม่ตื่นตระหนกจนเกินไป แต่เมื่อจุลินทรีย์เสียสมดุล (dysbiosis) เช่น เกิดจากการกินยาปฏิชีวนะมากเกินไป หรือรับประทานอาหารที่มีใยอาหารน้อยเกินไป ระบบภูมิคุ้มกันอาจแสดงอาการผิดปกติ และนี่คือหนึ่งในสาเหตุของโรคภูมิแพ้นั่นเองครับ ดังนั้นเจ้า Microbiomes หรือจุลินทรีย์ที่ดี ก็จะเข้ามามีบทบาทในการสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
ผมเคยเล่าให้ฟังว่า มนุษย์เราทุกคนต่างก็มีภูมิคุ้มกันตนเอง โดยพระเจ้าสร้างมาให้อยู่แล้ว ซึ่งภูมิคุ้มกันของมนุษย์ก็จะทำงานเหมือนกองทัพ มีทั้งทหารที่คอยป้องกันเชื้อโรค (ภูมิคุ้มกันชนิด T-helper 1) และทหารที่มักจะเกี่ยวข้องกับการแพ้ (T-helper 2) รวมถึงทหารที่ทำหน้าที่ควบคุมไม่ให้เกิดการอักเสบเกินไป (Regulatory T-cells หรือ Treg) จุลินทรีย์ในลำไส้สามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้าง “ภูมิปรับสภาพ”หรือ Treg เพิ่มขึ้น ทำให้ภูมิคุ้มกันสมดุล ลดโอกาสการตอบสนองเกินความจำเป็น ที่นำไปสู่อาการแพ้ เช่น คัน จาม หอบ หรือผื่นแดง เป็นต้นครับ
นอกจากนี้จุลินทรีย์ยังสร้างสารสำคัญ เช่น กรดไขมันสายสั้น (SCFAs) ได้แก่ Butyrate, Acetate และ Propionate ที่มีคุณสมบัติลดการอักเสบ และช่วยเสริมความแข็งแรงของผนังลำไส้ ไม่ให้สารก่อแพ้เล็ดลอดเข้าสู่ร่างกายง่ายเกินไป ซึ่งในปัจจุบันนี้ แนวคิดการใช้จุลินทรีย์เพื่อรักษาโรคภูมิแพ้ก็มีหลายแนวทางที่กำลังถูกพัฒนา ได้แก่
Probiotics การให้จุลินทรีย์มีชีวิตที่คัดเลือกเฉพาะสายพันธุ์ เช่น Lactobacillus (ที่เราได้จากนมเปรี้ยวหรือโยเกิร์ต) Rhamnosus GG และ Bifidobacterium longum ซึ่งมีงานวิจัยพบว่า ช่วยลดอาการภูมิแพ้ในเด็ก โดยปรับสมดุลภูมิคุ้มกันและลดความรุนแรงของผื่นภูมิแพ้
นอกจากนี้ยังมี Prebiotics ซึ่งเป็นใยอาหารหรือสารที่เป็นอาหารของจุลินทรีย์ที่ดี เช่น อินูลิน (Inulin) หรือโอลิโกแซ็กคาไรด์จากนม (Galacto Oligo Saccharides:GOS) การเพิ่มอาหารเหล่านี้ จะทำให้จุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้เติบโต และสร้าง SCFAs ได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังมี Postbiotics ซึ่งเป็นสารเมตาโบไลต์ที่จุลินทรีย์สร้างขึ้นมา เช่น SCFAs หรือเอนไซม์บางชนิด ปัจจุบันมีงานวิจัยกำลังพัฒนา Postbiotics เป็นยาหรืออาหารเสริม เพื่อใช้ลดการอักเสบในผู้ป่วยภูมิแพ้ ออกมาสู่ตลาดบ้างแล้วครับ
อีกตัวหนึ่งซึ่งศาสตราจารย์กู้ที่มาเยือนผม ท่านได้คิดค้นขึ้นมาเป็นอาหารเสริมสุขภาพของผู้สูงวัย เมื่อเกิดมีอาการบกพร่องของภูมิคุ้มกัน นั่นก็คือ Fecal Microbiota Transplantation (FMT) ด้วยการถ่ายจุลินทรีย์จากคนสุขภาพดี เข้าสู่ลำไส้ของผู้ป่วยด้วยการรับประทานและวิธีการทำดีท็อกซ์ (Detoxification) ซึ่งจะยังเป็นวิธีที่ใช้หลักๆ ในโรคลำไส้อักเสบติดเชื้อ แต่เริ่มมีงานศึกษาว่าอาจช่วยผู้ป่วยโรคภูมิแพ้บางประเภทได้แล้วครับ
การใช้วิธีการนำจุลินทรีย์เข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการรับประทาน หรือวิธีการทำดีท็อกซ์ ก็จะมีทั้งข้อดีและข้อจำกัด ข้อดีก็จะเป็นการนำเข้าไปทางธรรมชาติ ปรับสมดุลร่างกาย ไม่ใช่การกดภูมิคุ้มกัน ซึ่งมีโอกาสใช้เสริมการรักษาเดิมได้ เช่น ควบคู่กับยาต้านฮีสตามีน (Histamine) จะลดโอกาสผลข้างเคียงรุนแรง เมื่อเทียบกับยาบางชนิดได้อย่างดีเยี่ยมนั่นเองครับ ส่วนข้อจำกัดก็คือ ในปัจจุบันนี้แม้จะมีงานวิจัยออกมาหลายเล่ม แต่ก็ยังอยู่ในระยะต้นๆ ซึ่งคงต้องให้ถูกนำมาใช้และการทำงานวิจัยควบคู่กันไป เพื่อให้เกิดการยอมรับมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ก็มีทางการแพทย์ก็ยังคงความเชื่อว่า ผลลัพธ์ไม่แน่นอนเท่าการใช้ยาแผนปัจจุบัน นอกจากนี้ ความแตกต่างระหว่างบุคคลแต่ละคนยังมีอยู่สูง ซึ่งก็จะขึ้นอยู่กับพันธุกรรม อาหาร และวิถีชีวิต เป็นต้น เราจึงยังไม่มี “ยามาตรฐานจากจุลินทรีย์” จะมีก็แต่อาหารเสริมที่ได้นำมาใช้ในการสร้างภูมิคุ้มกันโรคภูมิแพ้
ผมเองเชื่อว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เราอาจจะได้เห็น “ยาโปรไบโอติก” ที่ขึ้นทะเบียนอย่างเป็นทางการสำหรับผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ โดยอาจมาในรูปแบบแคปซูล หรืออาหารเสริมเฉพาะบุคคล นอกจากนี้การแพทย์แม่นยำ (Precision Medicine) จะเข้ามามีบทบาท เช่น การตรวจ Microbiome profile ของผู้ป่วย ซึ่งเท่าที่ผมได้พูดคุยกับท่านศาสตราจารย์กู้ จึงทราบว่าในปัจจุบันนี้ที่ประเทศอังกฤษและประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้มีการเลือกสายพันธุ์จุลินทรีย์ที่เหมาะสมกับร่างกายของแต่ละคน แล้วมาทำเป็นอาหารเสริมออกจำหน่ายแล้วครับ
ข้อมูลจาก: