KEY
POINTS
เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้รับข่าวร้ายของการสูญเสียผู้ใหญ่ อันเป็นที่เคารพรักของผมท่านหนึ่ง ท่านเป็นทั้งเพื่อนและพี่ของน้องๆหลายท่าน แต่เสียดายที่ผมไม่สามารถไปร่วมงานศพท่าน เพราะผมมีภารกิจต้องเดินทางไปต่างประเทศตลอดทั้งอาทิตย์ ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน ท่านได้ให้น้องที่เป็นเลขาของท่านสองคน มาพบผมที่ออฟฟิศ เพื่อมาขอให้ผมช่วยจัดงานอีเว้นท์สำคัญสองงาน น้องสองท่านเล่าให้ผมฟังว่า ท่านมาด้วยตนเองไม่ได้ เพราะท่านต้องเข้าโรงพยาบาลรักษาตัวอยู่ ผมจึงได้สอบถามอาการของท่านกับน้องสองท่านว่า ท่านมีอาการอย่างไรบ้าง? น้องได้เล่าว่า ท่านเป็นมะเร็งปอดขั้นสุดท้ายแล้ว สภาพร่างกายซูบผอมลงไปมาก น้ำหนักตัวที่ปกติเคยมีแปดสิบกว่ากิโลกรัม ตอนนี้เหลือเพียงสามสิบกว่ากิโลกรัมเท่านั้น ซึ่งผอมเหลือแต่กระดูก น้องได้เล่าต่อว่า ร่างกายที่เหลือแต่กระดูกมีที่เดียวเท่านั้นที่อ้วน คือช่องท้องที่บวมเป่ง ผมได้ฟังก็ค่อนข้างจะตกตะลึง เพราะนั่นคือหนึ่งในอาการของภาวะแทรกซ้อนที่ตามมาจากโรคมะเร็ง ซึ่งก็คืออาการภาวะน้ำในช่องท้อง(Ascites) ซึ่งในภาษาบ้านๆที่ชอบเรียกกันว่า เป็น “โรคท้องมาน”นั่นเองครับ หลังจากที่น้องสองท่านลากลับไป ผมก็รีบสืบค้นหาบทความต่างๆมาอ่านทันที เพราะอยากจะทราบถึงสาเหตุและความอันตรายของอาการนี้ครับ
โรคท้องมานหรือภาวะน้ำในช่องท้อง หมายถึงภาวะที่มีของเหลวสะสมมากเกินไปในช่องท้อง ซึ่งเป็นอาการทางกายภาพที่อันตรายอย่างหนึ่ง เพราะภายใต้สถานการณ์ร่างกายแข็งแรงปกติ ช่องท้องจะมีของเหลวเพียงเล็กน้อย (ประมาณ 20-50 มิลลิลิตร) ซึ่งมีไว้สำหรับหล่อลื่นอวัยวะต่างๆ เมื่อเกิดภาวะน้ำในช่องท้อง ปริมาณของเหลวนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้ท้องขยายใหญ่ขึ้น ไม่สบายตัว ที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่าท้องมาน อาจส่งผลกระทบต่อการหายใจได้ ในอดีตยุคที่ผมยังเป็นเด็กอยู่บ้านนอก วิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ยังกระจายไปไม่ทั่วถึง ชาวบ้านบางคนอาจจะเข้าใจผิด คิดว่า “ผีเข้าสิง” ร่างกายของผู้ป่วย ก็จะไปหาหมอผีเป่ากระหม่อมบ้าง ไปหาหลวงพ่อรดน้ำมนต์บ้าง สุดท้ายก็ไม่รอดทุกราย แต่จะเร็วจะช้าก็ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของผู้ป่วยละครับ
ปัจจุบันนี้วิวัฒนาการทางการแพทย์ของเรา ได้มีการพัฒนามากแล้ว จึงทราบว่าสาเหตุหลักของภาวะน้ำในช่องท้อง เป็นกระบวนการที่ซับซ้อน ที่มักเกี่ยวข้องกับความไม่สมดุลของของเหลว ทั้งภายในและภายนอกหลอดเลือดและหลอดน้ำเหลืองสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดที่นำไปสู่ภาวะน้ำในช่องท้อง ส่วนใหญ่จะเกิดจาก โรคตับ ที่มีทั้งโรคตับแข็ง โรคมะเร็งตับ โรคตับอ่อน โรคไต โรคหัวใจล้มเหลวรุนแรง โรคมะเร็ง และวัณโรค เป็นต้น นี่คือสาเหตุหลักของภาวะน้ำในช่องท้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะตับแข็งเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของการนำไปสู่ภาวะน้ำในช่องท้อง เพราะการที่ตับเสียหายเป็นเวลานานจนเกิดพังผืดและแข็งตัว จะขัดขวางการไหลเวียนของเลือดผ่านตับตามปกติ ทำให้เกิด "ความดันหลอดเลือดดำพอร์ทัลสูง" (Portal Hypertension) ซึ่งความดันหลอดเลือดดำพอร์ทัลสูง จะส่งผลให้ของเหลวในหลอดเลือดซึมออกมาในช่องท้องได้ ในขณะเดียวกันตับที่เสียหาย จะไม่สามารถสังเคราะห์อัลบูมิน(Albumin)ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอัลบูมินเป็นโปรตีนสำคัญในเลือดชนิดหนึ่ง การลดลงของอัลบูมินจะทำให้ความดันออสโมติก(Osmotic Pressure)ภายในหลอดเลือดลดลง ก็จะทำให้ของเหลวในหลอดเลือดรั่วไหลออกมาได้ง่ายขึ้น จึงทำให้มีภาวะน้ำในช่องท้อง ไม่ได้เป็นเพราะผีเข้าหรอกครับ
อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะน้ำในช่องท้อง ก็คือ โรคมะเร็ง ซึ่งนอกจากมะเร็งตับแล้ว ยังมีโรคมะเร็งอีกหลายชนิดที่อยู่ในตัวของผู้ป่วย ส่วนใหญ่จะทำให้มะเร็งเกิดการแพร่กระจายไปยังเยื่อบุช่องท้อง (Peritoneal Carcinomatosis) โดยภาวะน้ำในช่องท้องประเภทนี้มักเรียกว่า ภาวะน้ำในช่องท้องจากมะเร็ง (Malignant Ascites) ซึ่งมักจะทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุช่องท้อง และมีของเหลวซึมออกมา นอกจากนี้โรคมะเร็งที่เป็นสาเหตุดังกล่าวที่พบบ่อยมาก ได้แก่ มะเร็งรังไข่ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งตับอ่อน มะเร็งเต้านม และมะเร็งปอด ที่พี่ท่านนั้นเป็นนั่นแหละครับ
บางครั้งการเกิดโรคมะเร็ง ก็มักจะลุกลามไปยังกลุ่มอาการบัดด์-ไคอารี (Budd-Chiari Syndrome) ซึ่งจะเกิดอาการอุดตันของหลอดเลือดดำในตับ ทำให้การไหลเวียนของเลือดกลับสู่ตับติดขัด ซึ่งก่อให้เกิดความดันหลอดเลือดดำพอร์ทัลสูง และภาวะน้ำในช่องท้องดังที่ผมได้กล่าวมาข้างต้นครับ
การวินิจฉัยสาเหตุของภาวะน้ำในช่องท้อง แพทย์ท่านก็ต้องอาศัยการซักประวัติอย่างละเอียด รวมทั้งการตรวจร่างกายโดยละเอียด เช่นการตรวจทางภาพถ่าย การอัลตราซาวนด์ การตรวจ CT-Scan หรือการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) จึงสามารถยืนยันการมีอยู่ของภาวะน้ำในช่องท้อง และประเมินสภาพของตับ ไต และอวัยวะอื่นๆ ในช่องท้องได้ชัดเจนยิ่งขึ้นครับ นอกจากนี้ การวิเคราะห์น้ำในช่องท้อง (Ascitic Fluid Analysis) ด้วยวิธีการเจาะดูดน้ำในช่องท้องด้วยปริมาณเล็กน้อย เพื่อนำไปตรวจทางห้องแล็บ เพื่อวิเคราะห์ลักษณะภายนอก เช่น ปริมาณโปรตีน จำนวนเซลล์ กลูโคส ฯลฯ และทำการเพาะเชื้อแบคทีเรีย หรือตรวจเซลล์ (Cytology) เพื่อแยกแยะภาวะน้ำในช่องท้อง เพื่อทราบถึงสาเหตุต่างๆ เช่น ภาวะน้ำในช่องท้องจากตับแข็ง มักจะมีปริมาณโปรตีนต่ำ ในขณะที่ภาวะน้ำในช่องท้องจากมะเร็ง ก็มักมีปริมาณโปรตีนสูง และอาจพบเซลล์มะเร็งได้ เป็นต้น นอกจากนี้การตรวจเลือด เพื่อประเมินการทำงานของตับหรือการทำงานของไต หรือหาระดับอัลบูมินในเลือด การมีอยู่ของการติดเชื้อหรือตัวบ่งชี้การอักเสบ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะทราบถึงสาเหตุได้เช่นกันครับ
เนื่องจากภาวะน้ำในช่องท้องหรือเป็นโรคท้องมาน เป็นอาการแสดงของโรคที่ร้ายแรงหลายชนิด ดังนั้นหากเราชาวผมขาวทั้งหลาย พบว่าตัวเองมีอาการช่องท้องขยายผิดปกติหรือไม่สบายตัว เราก็ควรต้องรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยและหาสาเหตุที่แท้จริง เราไม่ต้องรอให้ยมบาลมาตามหาถึงบ้าน แล้วค่อยบอกว่า “ผมยังไม่ว่าง” นะครับ