เมตตามรณะ การจากไปอย่างเมตตาในบริบทของสังคมและจริยธรรม

23 พ.ค. 2568 | 20:20 น.

เมตตามรณะ การจากไปอย่างเมตตาในบริบทของสังคมและจริยธรรม คอลัมน์ ชีวิตบั้นปลายของชายชรา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

KEY

POINTS

  • แนวคิดเรื่อง “เมตตามรณะ” หรือการตายอย่างสงบเพื่อหลีกเลี่ยงความทุกข์ทรมานในระยะสุดท้ายของโรค เป็นประเด็นที่มีความซับซ้อนทั้งในด้านจริยธรรม สิทธิมนุษยชน และกฎหมาย ซึ่งหลายประเทศเริ่มให้การยอมรับภายใต้เงื่อนไขที่เคร่งครัด
  • ในประเทศไทย แม้ยังไม่มีกฎหมายรองรับเมตตามรณะโดยตรง แต่ผู้ป่วยมีสิทธิเขียนพินัยกรรมชีวิตตาม พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 เพื่อปฏิเสธการรักษาที่ยื้อความเจ็บปวดในช่วงสุดท้ายของชีวิต

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ผมได้มีแขกผู้มาเยือนท่านหนึ่ง ท่านเป็นแพทย์ทางด้านโรคมะเร็งที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง ท่านเล่าว่า ท่านการได้รักษาผู้ป่วยมะเร็งมามาก จนทำให้ท่านเกิดแรงบันดาลใจว่า ผู้ป่วยที่อยู่ในระยะสุดท้ายของโรคมะเร็ง ควรจะมีสิทธิในการตัดสินใจในการจากไปอย่างมีความสุข มากกว่าที่จะต้องทนทุกข์ทรมานกับเจ้าโรคร้ายนี้ เพราะในระยะสุดท้ายของผู้ป่วย ควรจะต้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก่อนที่จะจากโลกนี้ไปอย่างสงบ ซึ่งจะเป็นการดีต่อผู้ป่วยและลูกหลาน ที่ไม่ต้องได้มาเห็นสภาพที่ทนทุกข์ทรมานกับอาการเจ็บป่วยนั้น ซึ่งตัวผมเองก่อนหน้านี้สามวัน ก็มีเพื่อนอยู่ท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นคนจีนที่อาศัยอยู่ที่กรุงปักกิ่ง ได้โทรศัพท์มาสอบถามผมว่า อยากจะพาคุณแม่ที่ป่วยระยะสุดท้ายมาพักอาศัยที่ “คัยโกเฮาส์” ของผม จะเป็นการรบกวนผมเกินไปหรือไม่? ผมก็ตอบไปว่า ที่ประเทศไทยเรามีที่พักผู้ป่วยติดเตียงหรือที่เรียกว่า “เนอสซิ่งโฮม” เยอะมาก ถ้าคุณอยากให้คุณแม่มาใช้ชีวิตบั้นปลายที่ เมืองไทย ผมก็ยินดีจะช่วยแนะนำสถานที่ดีๆให้ได้ครับ

ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันนี้ ความก้าวหน้าทางการแพทย์ในการช่วยยืดชีวิตมนุษย์ ให้ยืนยาวขึ้นได้กว่าในอดีต อย่างไม่เคยเป็นมาก่อนมาก คำถามสำคัญที่มักเกิดขึ้นคู่กันคือ “เราควรยื้อชีวิตไปจนถึงที่สุดนั้น เป็นเรื่องที่ดีจริงหรือ?” ประเด็นนี้น่าจะเป็นที่มาของการถกเถียงอย่างกว้างขวาง เกี่ยวกับแนวคิดของ “เมตตามรณะ” (Euthanasia) นั่นเอง ผมจึงได้ไปสืบค้นดูในบทวิจัยทาง Google scholar ซึ่งก็พบว่ามีมากถึง 716,000 บทความ ซึ่งทำให้ผมยิ่งอ่านยิ่งสนุกครับ ซึ่งในความหมายของคำดังกล่าว คือกล่าวถึงการทำให้บุคคลเสียชีวิตอย่างสงบ และปราศจากความเจ็บปวด เพื่อบรรเทาความทุกข์ทรมานจากโรคร้ายที่รักษาไม่หาย ผมจึงทราบถึงรูปแบบ และประเด็นทางจริยธรรมที่ซับซ้อนของเมตตามรณะในบริบทของสังคมปัจจุบันนี้ครับ

เมตตามรณะไม่ใช่แนวคิดใหม่ หากแต่มีรากฐานมายาวนานมาก ในประวัติศาสตร์ปรัชญาและจริยธรรม สังคมโบราณบางแห่งเคยยอมรับการจบชีวิต เพื่อหลีกเลี่ยงความทุกข์ทรมาน แต่ในยุคสมัยใหม่ แนวคิดนี้ถูกนำมาพิจารณาอย่างรอบคอบ ภายใต้กรอบของหลักสิทธิมนุษยชน ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และความก้าวหน้าทางการแพทย์ โดยทั่วไป เมตตามรณะสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายรูปแบบ ดังนี้

1. เมตตามรณะแบบสมัครใจ (Voluntary Euthanasia) เป็นกรณีที่ผู้ป่วยที่รู้ตัวและมีสติสัมปชัญญะเต็มเปี่ยม ได้แสดงเจตจำนงอย่างชัดเจนว่า ต้องการให้แพทย์หรือบุคคลอื่นช่วยจบชีวิตตนเอง เพื่อหลีกเลี่ยงความทุกข์ทรมานจากอาการป่วยที่เกินเยียวยา โดยมักจะทำในรูปแบบของ “พินัยกรรมชีวิต” (Living Will) หรือ “หนังสือแสดงเจตนาเกี่ยวกับสุขภาพ” (Advance Directive) ที่ระบุความต้องการในการรักษาหรือไม่อยากให้ยื้อชีวิตเมื่อถึงจุดหนึ่ง ซึ่งผมก็เคยได้ยินกลุ่มเพื่อนๆหลายท่าน กล่าวถึงพินัยกรรมชีวิตดังกล่าวครับ

2. เมตตามรณะแบบไม่สมัครใจ (Non-Voluntary Euthanasia) เกิดขึ้นเมื่อผู้ป่วยไม่สามารถแสดงเจตจำนงได้ด้วยตนเอง เช่น อยู่ในภาวะโคม่า หรือเป็นผู้ป่วยสมองเสื่อมระยะสุดท้าย และการตัดสินใจจบชีวิตจะขึ้นอยู่กับญาติสนิท หรือผู้แทนทางกฎหมาย โดยคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วยเป็นสำคัญ

3. เมตตามรณะแบบบังคับ (Involuntary Euthanasia) เป็นการจบชีวิตผู้ป่วยโดยที่ผู้ป่วยไม่ยินยอมหรือไม่ได้รับรู้ มักถูกมองว่าเป็นการกระทำที่ผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง และผิดกฎหมายในทุกประเทศ เนื่องจากเป็นการละเมิดสิทธิในชีวิตอย่างรุนแรงนั่นเองครับ

ส่วนใหญ่การกระทำเมตตามรณะ จะเป็นรูปแบบที่แพทย์ให้ยาสงบระงับความรู้สึก การที่ผู้ป่วยจะใช้วิธีเมตตามรณะตรงตามที่ผู้ป่วยต้องการ ผู้กระทำการให้จะต้องเป็นแพทย์ผู้ประกอบเวชกรรมชั้นหนึ่งเป็นผู้กระทำการเท่านั้น ตามที่ได้มีการตกลงกันก่อนล่วงหน้า ในขณะที่ผู้ป่วยยังคงมีสติสัมปชัญญะโดยสมบูรณ์ หรือในขณะที่ทำการรักษา หรือทำตามพินัยกรรมของผู้ป่วย จึงจะถือว่าลงมือปฏิบัติเมตตามรณะ ที่ยึดเอาผู้ป่วยเป็นจุดศูนย์กลางในการตัดสินใจได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม ประเด็นทางจริยธรรมที่ซับซ้อนของเมตตามรณะ ยังคงเป็นสิ่งที่ทำให้การถกเถียงไม่เคยจบสิ้น ฝ่ายที่สนับสนุนมักจะเน้นย้ำถึง “สิทธิในการตายอย่างมีศักดิ์ศรี” (Right to Die with Dignity) โดยให้เหตุผลว่า ผู้ป่วยที่เผชิญกับความเจ็บปวดแสนสาหัส และไร้ความหวังในการรักษา ควรมีสิทธิ์ที่จะเลือกจบชีวิตตนเอง เพื่อหลีกเลี่ยงความทุกข์ทรมานที่ยาวนาน การยืดชีวิตออกไปโดยปราศจากคุณภาพชีวิตที่ดี อาจจะเป็นการทรมานมากกว่าการให้ความเมตตา นอกจากนี้ยังมีการกล่าวถึง “ความเป็นอิสระส่วนบุคคล” (Autonomy) ซึ่งหมายถึงสิทธิ์ของผู้ป่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับร่างกายและชีวิตของตนเอง รวมถึงการเลือกที่จะไม่ทนทุกข์ทรมานอีกต่อไป

ในทางกลับกัน ฝ่ายที่คัดค้านเมตตามรณะ ก็มักหยิบยกประเด็นที่หลากหลายมาถกเถียง ประการแรกคือ “หลักการไม่ทำอันตราย” (Do No Harm) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของจรรยาบรรณแพทย์ ที่ห้ามมิให้แพทย์กระทำการใดๆ ที่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วย การช่วยให้ผู้ป่วยเสียชีวิต จึงถูกมองว่าขัดต่อหลักการนี้อย่างสิ้นเชิง ประการที่สอง คือ “ศักดิ์ศรีของชีวิต” (Sanctity of Life) ที่เชื่อว่าชีวิตมนุษย์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ไม่อาจล่วงละเมิดได้ ไม่ว่าจะมีคุณภาพชีวิตเป็นอย่างไรก็ตาม การจบชีวิตไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ จึงเป็นการกระทำที่ผิดต่อหลักการพื้นฐานนี้ นอกจากนี้ยังมีข้อกังวลว่า หากมีการอนุญาตให้มีการกระทำเมตตามรณะ อาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิ์หรือการตัดสินใจจบชีวิตผู้ป่วยที่ไม่สมัครใจได้ หรือผู้ป่วยที่อาจได้รับการรักษาให้ดีขึ้นในอนาคตได้ อีกทั้งยังมีข้อกังวลว่า ความเจ็บปวดที่แท้จริงของผู้ป่วย อาจไม่ได้เกิดจากตัวโรคโดยตรง แต่เป็นจากอาการซึมเศร้า หรือความไม่เข้าใจในทางเลือกการรักษาอื่นๆ ซึ่งสามารถบรรเทาได้ด้วย “การดูแลแบบประคับประคอง” (Palliative Care) ที่มุ่งเน้นการลดความเจ็บปวดและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในระยะสุดท้าย

ปัจจุบันมีนี้เพียงไม่กี่ประเทศในโลก ที่อนุญาตให้มีการทำเมตตามรณะ หรือการช่วยฆ่าตัวตายโดยแพทย์อย่างถูกกฎหมาย เช่น ชาติตะวันตกบางประเทศ หรือมีเพียงไม่กี่รัฐในสหรัฐอเมริกา โดยแต่ละประเทศมักจะมีข้อกำหนด และเงื่อนไขที่เข้มงวดมาก เช่น ผู้ป่วยต้องเป็นผู้ใหญ่ที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ต้องป่วยเป็นโรคร้ายที่รักษาไม่หายและมีอาการเจ็บปวดที่ทนไม่ได้ และต้องมีแพทย์อิสระสองคนขึ้นไปยืนยันความจำเป็นในการทำเมตตามรณะ จึงจะสามารถกระทำการได้

ในประเทศไทย แนวคิดเรื่องเมตตามรณะ ยังคงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และยังไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย อย่างไรก็ตามมีการผลักดันแนวคิดเรื่อง “สิทธิการเลือกไม่รับการรักษา” ที่ระบุไว้ในมาตรา 12 ของพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ซึ่งอนุญาตให้บุคคลสามารถทำหนังสือแสดงเจตนาล่วงหน้า (Living Will) ว่าไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่อาจจะเป็นเพียงเพื่อยืดการตายอันทรมาน อันเป็นแนวทางที่เน้นการเคารพเจตจำนงของผู้ป่วย ซึ่งก็หมายความถึงการเลือกวิธีการตายอย่างสงบตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีทางการแพทย์ ในการยื้อชีวิตที่ไร้คุณภาพอีกต่อไปนั่นเองครับ

 

บทความอ้างอิง

  • กรมสุขภาพจิต. (ม.ป.ป.). พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 มาตรา 12. สืบค้นเมื่อ 20 พฤษภาคม 2568,
  • The Netherlands. (2002). Termination of Life on Request and Assisted Suicide (Review Procedures) Act. Retrieved May 20, 2025,
  • Beauchamp, T. L., & Childress, J. F. (2019). Principles of Biomedical Ethics (8th ed.). Oxford University Press.
  • Palliative Care. (n.d.). World Health Organization. Retrieved May 20, 2025, from https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/palliative-care