คดีหมิ่นประมาทในยุคดิจิทัล สิทธิตามกฎหมายกับวาทกรรม SLAPP

11 ธ.ค. 2568 | 04:25 น.
อัปเดตล่าสุด :11 ธ.ค. 2568 | 04:40 น.

คดีหมิ่นประมาทในยุคดิจิทัล สิทธิตามกฎหมายกับวาทกรรม SLAPP : บทความโดย... ทัศไนย ไชยแขวง ทนายความสำนักงาน KSS

KEY

POINTS

  • การฟ้องหมิ่นประมาทเป็นสิทธิตามกฎหมาย เพื่อปกป้องชื่อเสียง ขณะเดียวกันกฎหมายก็มีกลไกคุ้มครองผู้ถูกฟ้องจากการถูกฟ้องคดีเพื่อปิดปาก (SLAPP) เช่นกัน
  • เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเป็นสิทธิที่มีขอบเขต และไม่คุ้มครองการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ หรือบิดเบือนที่สร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของบุคคลอื่น
  • มีการตั้งข้อสังเกตว่าวาทกรรม "ฟ้องปิดปาก" (SLAPP) ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือ เพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบจากการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ผ่านการตรวจสอบหรือมีลักษณะบิดเบือน

ในยุคที่ข้อมูลแพร่กระจายรวดเร็วจนสังคมมักด่วนสรุปก่อนตรวจสอบข้อเท็จจริง ปรากฏการณ์ “คำพิพากษาสังคม” (social judgement) กลายเป็นเรื่องปกติ ความคิดเห็นที่ถูกแชร์อย่างกว้างขวางจากข้อมูลไม่รอบด้าน สามารถทำลายชื่อเสียงของบุคคล องค์กรเอกชน หรือ หน่วยงานรัฐได้อย่างรุนแรง จนหลายกรณีจำเป็นต้องพึ่งกระบวนการศาลเพื่อพิสูจน์ความจริง

คดี “ปลาหมอคางดำ” เป็นตัวอย่างสำคัญของสถานการณ์ดังกล่าว โดยมีการฟ้องร้องหมิ่นประมาทระหว่างบริษัทเอกชนรายใหญ่ กับ นักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม อันเกี่ยวข้องกับประเด็นสำคัญทั้งเรื่องสิทธิในการปกป้องชื่อเสียง เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และข้อกล่าวหาที่ว่าคดีอาจเป็นลักษณะ “ฟ้องปิดปาก” หรือ SLAPP (Strategic Lawsuit Against Public Participation) 

ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า การฟ้องหมิ่นประมาทเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามหลักกฎหมาย ขณะเดียวกันการถูกฟ้องปิดปาก “SLAPP” ก็เป็นสิทธิที่กฎหมายคุ้มครองผู้ถูกฟ้องเช่นกัน เรียกว่า ต่างฝ่ายต่างก็ได้รับสิทธิ หรือใช้สิทธิตามกฎหมาย  เรามาว่ากันถึงเรื่องสิทธิของแต่ละฝ่ายตามข้อกฎหมาย 

สิทธิในการปกป้องชื่อเสียง 

ชื่อเสียงเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่กฎหมายและหลักสิทธิมนุษยชนให้การคุ้มครอง ทั้งตามกฎหมายไทย และ หลักสิทธิมนุษยชนตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน Universal Declaration of Human Rights (UDHR) ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 12 บัญญัติถึงเรื่องสิทธิในเกียรติยศและชื่อเสียง โดยระบุว่า 

บุคคลใดจะถูกแทรกแซงความเป็นส่วนตัว ครอบครัว เคหสถาน หรือ การติดต่อสื่อสารโดยพลการไม่ได้ และจะถูกลบหลู่เกียรติยศและชื่อเสียงไม่ได้ ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายจากการแทรกแซง หรือ การละเมิดสิทธิดังกล่าว 

นอกจากนี้ กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง “International Covenant on Civil and Political Rights (ICCPR)” ก็ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 17 ในทำนองเดียวกัน  
 จะเห็นได้ว่า ในหลักสากล “สิทธิในเกียรติยศศักดิ์ศรีและชื่อเสียง” (Right of honour and Reputation) เป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ที่ต้องได้รับความคุ้มครองมิให้ถูกละเมิด 

ในกฎหมายไทยเองเกียรติยศศักดิ์ศรีและชื่อเสียง ก็ได้รับความคุ้มครองทั้งทางแพ่งและอาญา ผ่านทางความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328  เกียรติและชื่อเสียงจึงเป็นสิทธิที่ได้รับการคุ้มครองผ่านทางกฎหมายว่าด้วยความผิดฐานหมิ่นประมาท และละเมิด ดังนั้น การฟ้องหมิ่นประมาท จึงถือเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายเพื่อปกป้องเกียรติยศศักดิ์ศรีและชื่อเสียงของผู้ที่ได้รับผผลจากการกระทำนั้น

สิทธิในการแสดงความคิดเห็น 

เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นหรือแสดงออกเป็นสิทธิที่ได้รับการคุ้มครอง แต่มีขอบเขตและจะไม่คุ้มครองข้อมูลอันเป็นเท็จเท็จ หรือข้อมูลที่ก่อให้เกิดความเสียหาย สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเป็นหัวใจของสังคมประชาธิปไตย แต่ไม่ใช่สิทธิที่ปราศจากขอบเขต (non-absolute right) 

กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง “International Covenant on Civil and Political Rights (ICCPR)” มาตรา 19 กำหนดว่า ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และการจำกัดสิทธิเสรีภาพย่อมทำได้เพื่อ คุ้มครองสิทธิของผู้อื่น, คุ้มครองชื่อเสียงของบุคคล 

ดังนั้น การเผยแพร่ข้อมูลเท็จ การใส่ร้าย หรือ การบิดเบือนข้อเท็จจริง ไม่อยู่ในความคุ้มครองของเสรีภาพ ตามนัยยะแห่ง International Covenant on Civil and Political Rights (ICCPR) เฉกเช่นเดียวกับกฎหมายไทยในเรื่องหมิ่นประมาท สิทธิที่ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายในแสดงความคิดเห็น หรือ ข้อความใดโดยสุจริต

แต่หากไม่เข้าเงื่อนไขของกฎหมายแล้ว กฎหมายก็ไม่คุ้มครองสิทธิในการแสดงความคิดเห็นนั้น ซึ่งกฎหมายไทยได้บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 เรื่องการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรม ฯลฯ  ผู้นั้นไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท

                            คดีหมิ่นประมาทในยุคดิจิทัล สิทธิตามกฎหมายกับวาทกรรม SLAPP

กลไกป้องกันฟ้องกลั่นแกล้ง 

กฎหมายไทยมีการกำหนดบทบัญญัติใน มาตรา 161/1 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งถือว่าเป็นกลไกสำคัญที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันมิให้กระบวนการยุติธรรม ถูกใช้เป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งบุคคลอื่นผ่านการฟ้องคดีอาญา โดยเฉพาะคดีหมิ่นประมาท ซึ่งมีลักษณะอ่อนไหวต่อการถูกใช้เป็นการ “ฟ้องปิดปาก” หรือ SLAPP.( Strategic Lawsuit Against Public Participation) 

เนื้อหาของมาตราดังกล่าวกำหนดว่า หากความปรากฏต่อศาลเอง หรือจากพยานหลักฐานที่ศาลเรียกมา และศาลเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีดำเนินการโดยไม่สุจริต บิดเบือนข้อเท็จจริง หรือ มีเจตนากลั่นแกล้ง ศาลมีอำนาจยกฟ้องและไม่ให้ยื่นฟ้องซ้ำในเรื่องเดียวกันอีก 

ถือเป็นอำนาจเชิงรุกในการอำนวยความยุติธรรมแก่จำเลย จึงเป็นเกราะคุ้มกันทั้งสำหรับประชาชน นักเคลื่อนไหว นักวิชาการ หรือผู้วิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต เพราะช่วยป้องกันไม่ให้ต้องเผชิญกับภาระคดีอาญา ที่นำมาเป็นเครื่องมือในการกดดัน ในอีกด้านหนึ่งยังเป็นตัวกำกับพฤติกรรมของผู้ฟ้องคดีให้ใช้สิทธิทางกฎหมายอย่างสุจริต 

เท่าที่ทราบการฟ้องร้องครั้งนี้ บริษัทเอกชนได้ดำเนินการผ่านอำนาจรัฐ โดยการแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ผ่านขั้นตอนการสอบสวน และยื่นฟ้องโดยพนักงานอัยการ ซึ่งถือว่าเป็นการกลั่นกรองตามกระบวนการของเจ้าหน้าที่รัฐแล้วว่า คดีมีมูลพอที่จะดำเนินคดี หาใช่การดำเนินคดีโดยอำเภอใจของเอกชนแต่เพียงฝ่ายเดียว  

นอกจากนี้ ในส่วนของค่าเสียหายที่เรียกร้องจำนวน 200 ล้านบาท เมื่อเทียบกับมูลค่าธุรกิจที่สูงกว่าหกแสนล้านบาท และความเสียหายชื่อเสียงในทางธุรกิจที่แพร่กระจายอย่างกว้างขวางแล้ว อีกทั้งตัวเลขดังกล่าวเป็นเพียงการประเมินเบื้องต้น เพื่อสะท้อนความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง มิได้มีเจตนามุ่งหวังผลประโยชน์จากตัวเลขความเสียหาย หรือ การดำเนินคดีอาญาเป็นเครื่องมือข่มขู่ หรือฟ้องปิดปากคู่กรณีแต่อย่างใด 

ทั้งนี้ บริษัทยังมีภาระต้องพิสูจน์ต่อศาลว่า ความเสียหายดังกล่าวเกิดขึ้นจริง และคำนวณเป็นตัวเงินได้ ส่วนจะเป็นจำนวนเท่าใดก็เป็นดุลยพินิจของศาล

ในอีกด้านหนึ่ง ผู้ถูกฟ้องได้ออกมาชี้แจงต่อสาธารณะเพื่อยืนยันว่า การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีปลาหมอคางดำของตนนั้น เป็นการกระทำโดยสุจริตและเพื่อประโยชน์สาธารณะ มิใช่การใส่ร้ายหรือบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อทำลายชื่อเสียงบริษัทเอกชนแต่อย่างใด ข้อมูลที่เผยแพร่มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นให้เกิดการตรวจสอบเชิงนโยบายต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมและผลกระทบต่อระบบนิเวศ ซึ่งเป็นความสนใจร่วมของสาธารณชน 

การแสดงความคิดเห็นในครั้งนี้อยู่ในขอบเขตของสิทธิตามกฎหมาย ไม่ได้มีเจตนาทำลายธุรกิจของบริษัท และไม่มีเจตนาทำให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียง หรือมูลค่าทางเศรษฐกิจของบริษัทแต่อย่างใด สำหรับประเด็นเรื่อง “การฟ้องปิดปาก (SLAPP)” ผู้ถูกฟ้องเห็นว่า การฟ้องร้องลักษณะนี้อาจทำให้การตรวจสอบในประเด็นสาธารณะถูกจำกัดลง 

กรณีศึกษาคดีหมิ่นประมาท-SLAPP 

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาคำว่า “SLAPP” หรือการฟ้องเพื่อปิดปาก ถูกนำมาใช้เป็นวาทกรรมโต้กลับแทบทุกครั้ง ที่มีการดำเนินคดีกับผู้เผยแพร่ข้อมูลในประเด็นความขัดแย้ง จนกลายเป็นเหมือน “โล่กำบัง” ในหลายกรณี ผู้ที่อ้างว่าถูกปิดปากกลับเป็นผู้เผยแพร่ข้อมูลที่ยังไม่ผ่านการตรวจสอบ หรือมีลักษณะบิดเบือนจนสร้างความเข้าใจผิดในสังคม การอ้างสิทธิและเสรีภาพในลักษณะนี้ จึงกลายเป็นเครื่องมือป้องกันตนเอง เพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบต่อผลกระทบที่ตนก่อขึ้น มากกว่าจะเป็นการใช้สิทธิอย่างสุจริตตามหลักเจตนา 

ปรากฏการณ์ดังกล่าวคล้ายกับรูปแบบของ Information Operation (IO) ที่มีระบบการจัดการที่ชัดเจนในเป้าประสงค์ ผ่านช่องทางต่างๆ จึงเกิดคำถามสำคัญในเชิงวิชาการว่า เรากำลังปกป้องเสรีภาพอย่างแท้จริง หรือกำลังปล่อยให้เสรีภาพถูกใช้เป็นเครื่องมือทำลายความจริงกันแน่ และท้ายที่สุดใครคือผู้ที่บิดเบือนความหมายของคำว่า “SLAPP”   

การฟ้องหมิ่นประมาท คือ กลไกทางกฎหมายที่ปกป้องศักดิ์ศรีและชื่อเสียง การฟ้องหมิ่นประมาทอาจจะเพื่อหยุดยั้งการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ การเรียกค่าเสียหายจำนวนสูง อาจจะเพื่อการกลั่นแกล้ง 

ในขณะเดียวกันการที่ต้องการความคุ้มครองเรื่อง SLAPP ก็อาจจะไม่ใช่เป็นการใช้สิทธิโดยสุจริต เสรีภาพต้องเดินคู่กับความรับผิดชอบ ประเด็นเหล่านี้คงต้องปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินการตามขั้นตอน เพื่อหาข้อยุติที่เป็นธรรมกับคู่กรณี และแนวทางที่เป็นบรรทัดฐานของสังคม

บทความโดย... ทัศไนย ไชยแขวง ทนายความสำนักงาน KSS 

หมายเหตุ : สำนักงานทนายความ KSS คือ สำนักงาน กัมธร สุรเชษฐ แอนด์ สมศักดิ์ (Kamthorn Surachet and Somsak) เป็นสำนักงานกฎหมายในกรุงเทพฯ เชี่ยวชาญด้านการจดทะเบียนสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้า รวมถึงบริการด้านวีซ่า และ Work Permit