2568 ทำไมตลาดหุ้นไทย ตกต่ำทั้งปี ???

12 ธ.ค. 2568 | 01:53 น.
อัปเดตล่าสุด :12 ธ.ค. 2568 | 02:05 น.

2568 ทำไมตลาดหุ้นไทย ตกต่ำทั้งปี ??? : คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์

KEY

POINTS

  • นักลงทุนต่างชาติและสถาบันเทขายหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี เนื่องจากผลตอบแทนที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับตลาดอื่นและความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ
  • ปัญหาเชิงโครงสร้างของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีกฎเกณฑ์ล้าสมัย ทำให้เกิดช่องโหว่ในการกำกับดูแล เช่น ปัญหา Margin Loan, Short Selling และหุ้น IPO ที่ไม่น่าสนใจ
  • ปัจจัยภายนอกประเทศส่งผลกระทบ เช่น นโยบายภาษีของสหรัฐฯ (ภาษีทรัมป์) ที่ทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์

*** เจ๊เมาธ์มองไม่ออกเลยว่าในปีนี้ หรือไม่ก็ในระยะไม่นานนับจากนี้ไป ดัชนีหุ้นไทยจะสามารถกลับขึ้นไปแตะ 1345.86 จุด ซึ่งเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันเข้าบริหารประเทศจะกลับมาได้อีกเมื่อไหร่ และแน่นอนว่า จุดสูงสุดของดัชนีหุ้นไทยที่ 1399.35 จุด ในวันที่ 2 ม.ค. 68 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดในรอบปีนี้ เจ๊เมาธ์ก็เดาไม่ถูกว่า จะกลับมาให้เห็นได้อีกกันเมื่อไหร่เช่นกัน... 

สาเหตุแรก ที่ทำให้ดัชนีหุ้นไทยถอยหลังลงทุกวัน เป็นเรื่องที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิออกมาทั้งปี ซึ่งจนถึงวันนี้ (ข้อมูลวันที่ 9 ธ.ค. 68) พบว่า นักลงทุนต่างชาติขายออกมาแล้วถึง 107,545 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนสถาบันก็ขายออกมาถึง 32,580 ล้านบาท และกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายออกมา 13,644 ล้านบาท

 จะมีก็แต่นักลงทุนรายย่อยที่ยอมรับเละไปถึง 153,771 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้มีทั้งการซื้อเพิ่มเข้ามาใหม่ รวมไปถึงการซื้อเพื่อถัวให้ราคาหุ้นที่มีต่ำลงเพราะติดดอยมาตั้งแต่ปีที่แล้วนั่นเอง

ส่วนสาเหตุที่ทำให้ทั้งนักลงทุนนักลงทุนต่างชาติ นักลงทุนสถาบันและกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายออกมาอย่างต่อเนื่องก็แบ่งออกได้ดังนี้

1. ปัญหาเรื่องผลตอบแทนจากการลงทุนเมื่อเทียบกับการลงทุนในตลาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา ...ทั้งนี้ถึง แม้ว่าในปี 2568 จะเป็นปีที่ดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับตัวลดลง โดยในปีนี้ลดลงต่อเนื่องถึง 3 ครั้งจนเหลือเพียง 3.50-3.75% แต่หากเทียบกับการที่จะต้องว่าเม็ดเงินทิ้งไว้ในไทย...ผลตอบแทนที่ได้ก็ยังถือว่าสูงและปลอดภัยมากกว่า

2. ปัญหาเรื่องผลตอบแทนจากการลงทุนเมื่อเทียบกับการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ซึ่งอยู่ในภูมิภาคเดียวกันกับประเทศไทย เช่น อินโดนีเซีย และ เวียดนาม พบว่า ในขณะที่ดัชนีหุ้นไทยมีแต่ถอยหลังลง แต่ทั้งในส่วนของตลาดหุ้นอินโดนีเซีย และ เวียดนาม ดัชนีกลับมีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลตอบแทนที่ได้สูงกว่า จนนักลงทุนต่างชาติเลือกลงทุนในประเทศอื่นมากกว่าประเทศไทย

3. เรื่องของเสถียรภาพทางการเมืองของไทย ซึ่งหากจะนับการเลือกตั้งที่ผ่านมาเพียงครั้งเดียว แต่ประเทศไทยกลับเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีไปแล้วถึง 3 ครั้ง และขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีทั้ง 3 คน ต่างก็มีมุมมองทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน ส่งผลให้ทิศทางของนโยบายเศรฐกิจขาดเสถียรภาพ 

นอกจากนี้ การที่ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนล่าสุด “ยุบสภา” ก็ยิ่งทำให้ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า พรรคใดจะได้เข้าบริหารประเทศ และใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรี ส่งผลให้คาดการณ์แนวทางของนโยบายเศรฐกิจของไทยว่า จะเป็นไปในทิศทางใดไม่ได้เช่นกัน

สาเหตุที่สองเป็นเรื่องของตลาดหุ้นไทย ของช่องว่างของกฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ค่อนข้างล้าสมัยจนเป็นเหตุให้ผู้คุมกติกา (Regulators) มักตามเล่ห์เหลี่ยมของแก๊งมิจฉาชีพ ที่คอยจองหาผลประโยชน์อยู่ตลอดเวลาไม่ทัน ไม่ว่าจะเป็น

1. เรื่องของการจำนำหุ้น (Margin loan) ที่ทำให้หลายบริษัทถูก Margin Call จนส่งผลให้ราคาหุ้นร่วงหนักเช่นที่เกิดขึ้นกับ MORE OTO SABUY YGG NEX หรือ กรณีของดูดเงินออกจากระบบของตลาดหุ้นผ่านทาง Short Selling และ Naked Short Selling ซึ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอในการควบคุมกติกาและการตรวจสอบของตลาดหุ้นไทย

2. เรื่องที่เกิดขึ้นกับ JKN ซึ่งมีปัญหาเรื่องช่องว่างที่เกิดจากการดึงเงินไปลงทุนที่ขาด “วิจารณญาณ” ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อสถานะทางการเงิน จนถึงขั้นบริษัทให้ข้อมูลเท็จในงบการเงิน และไม่สามารถส่งงบการเงินได้ตามกำหนด จนถูกตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิกถอนหุ้นออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องของความอ่อนด้อยในการตรวจสอบและป้องกันปัญหาของ Regulators ได้เช่นกัน

3. เรื่องของหุ้น IPO ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจเก่าๆ เดิมๆ ที่ไม่สามารถดึงดูดความสนใจ (Sexy) ไม่ว่าจะเป็นบริษัทที่ขาดนวัตกรรม (Innovation) ไม่มีเทคโนโลยีที่เท่าทันโลก (Technology) 

นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องของการตั้งราคาขายที่สูงมาก ส่งผลให้หลังการเข้าซื้อขายวันแรก ราคาหุ้นลดลงต่ำกว่าราคาจองซื้อ เป็นเหตุให้นักลงทุนเริ่มถอยห่างและไม่สนใจหุ้นกลุ่มนี้อีก

ปัญหาเรื่องที่สามเป็นเรื่องของ “ภาษีทรัมป์” หรือ ภาษีศุลกากรตอบโต้ (Tariffs) ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศใช้เพื่อเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งเรื่องนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อห่วงโซ่ทางเศรษฐกิจของโลก จนเกิดภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวทั่วโลก นอกจากนั้นยังเกี่ยวพันอย่างมีนัยสำคัญ ในเรื่องของความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลกอีกด้วย 

ปัญหาที่สี่หนีไม่พ้นเรื่องของความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดน ระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลให้มูลค่าการค้าระหว่างทั้งสองประเทศปรับลดลงไปจนแทบจะไม่เหลือ 

แต่ประเด็นสำคัญที่สุดกลับเป็นเรื่องของ “มือที่สาม” อย่างเช่นสหรัฐฯ ซึ่งพยายามที่จะใช้เรื่องของศุลกากรตอบโต้ (Tariffs) ในการบีบบังคับให้เกิดการหยุดยิง และเกิดข้อตกลงสันติภาพ ทั้งที่ในความเป็นจริงคู่กรณีโดยตรงอย่างกัมพูชา กลับพยายามที่จะเล่นนอกเกมอยู่ตลอดจนส่งผลให้ประเทศไทย ยากที่จะหลีกเลี่ยงจนต้องดำเนินการตอบโต้ในที่สุด

ท้ายที่สุดเรื่องของตลาดหุ้น ซึ่งถือว่าเป็นดัชนีสำคัญที่ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารประเทศในระดับไหน ก็ควรต้องให้ความสำคัญ อย่างหนึ่งก็เพื่อใช้เป็นตัวดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามา และอีกอย่างหนึ่งก็เป็นตัวชี้วัดศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศว่ามีดีแค่ไหน

อย่างไรก็ตาม...เรื่องของเศรษฐกิจไม่ใช่แค่เพียงเรื่องของผู้บริหารประเทศ หรือผู้บริหารใดๆ แต่เพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวะที่ประเทศไทย กำลังเผชิญหน้าอยู่กับความขัดแย้งกับเพื่อบ้านที่มีมือที่สามเข้ามาผสมโรงด้วยเช่นนี้ การเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนไทยทั้งประเทศถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด 

งานนี้เจ๊เมาธ์บอกเลยว่า ถ้าคนไทยไม่ช่วยกันก็คงหวังพึ่งใครไม่ได้อีกแล้วเจ้าค่ะ

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์