ทำไมผมถึงไม่ค่อยเห็นด้วยกับการปรับเกณฑ์การลดหย่อนภาษีรูปแบบใหม่

11 ธ.ค. 2568 | 11:10 น.
อัปเดตล่าสุด :11 ธ.ค. 2568 | 11:16 น.

นโยบายลดหย่อนภาษีใหม่ถูกมองว่าเพิ่มภาระให้ชนชั้นกลางซึ่งเป็นฐานภาษีหลัก แทนการจัดการปัญหาความเหลื่อมล้ำจากกลุ่มทุนใหญ่และผู้เลี่ยงภาษี กระทบความสามารถในการสร้างอนาคตและบั่นทอนความเชื่อมั่นผู้เสียภาษี ขณะที่ทางออกควรมุ่งปฏิรูปโครงสร้างรัฐและสร้างโอกาสที่เท่าเทียมมากกว่าเพิ่มภาระภาษี

KEY

POINTS

  • การปรับเกณฑ์ลดหย่อนภาษีเป็นการเพิ่มภาระให้แก่ชนชั้นกลางซึ่งเป็นฐานภาษีหลักของประเทศ แทนที่จะมุ่งเป้าไปที่กลุ่มทุนใหญ่หรือผู้ที่เลี่ยงภาษีซึ่งเป็นต้นตอของปัญหาความเหลื่อมล้ำ
  • นโยบายดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการสร้างอนาคตและยกระดับคุณภาพชีวิตของชนชั้นกลาง ซึ่งถือเป็นการลงโทษผู้ที่ทำงานหนักและเสียภาษีอย่างโปร่งใส
  • ผู้เขียนเสนอว่าการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ยั่งยืนควรเริ่มจากการปฏิรูปโครงสร้าง เช่น การใช้จ่ายภาครัฐและการสร้างโอกาสที่เท่าเทียม ไม่ใช่การเพิ่มภาษีที่ทำลายความเชื่อมั่นของผู้เสียภาษี

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา การปฏิรูปภาษีถูกมองว่าเป็น “ยาวิเศษ” ที่จะเพิ่มรายได้รัฐและลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย แต่ข้อเสนอ “ยกเลิกลดหย่อนภาษี” ล่าสุดกลับสะท้อนวิธีคิดที่อาจจะแคบเกินไปต่อปัญหาที่มีความซับซ้อนมากกว่าเรื่องการหารายได้เพิ่มเข้ารัฐ ผลลัพธ์คือ นโยบายที่อาจทำลายความเชื่อมั่นของผู้เสียภาษีจำนวนมาก โดยเฉพาะชนชั้นกลาง ซึ่งเป็นกลุ่มแรงงานที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเป็นฐานภาษีสำคัญที่สุดของประเทศ

1. นโยบายที่มีเป้าหมายเพียงอย่างเดียว เก็บภาษีเพิ่ม

แก่นของนโยบายนี้มีเพียงข้อเดียว รัฐต้องการรายได้ภาษีเพิ่มขึ้นในทันที แม้จะอ้างว่าเป็นการช่วยผู้มีรายได้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาทจำนวน 11.5 ล้านคน แต่ความจริงคือ ไม่ใช่ทุกคนจะซื้อกองทุน และไม่ใช่ทุกคนมีศักยภาพในการใช้สิทธิได้เต็มจำนวน ผลประโยชน์จึงไม่กระจายอย่างที่กล่าวอ้าง

2. การอ้างว่าเป็น “จุดเริ่มต้นของการปฏิรูปภาษี” ที่ไม่คำนึงถึงลำดับและความเป็นจริง

รัฐบาลย้ำว่านี่คือก้าวแรกของการปฏิรูปภาษี แต่กลับไม่ตอบคำถามสำคัญ 2 ข้อ

(1) เป็นลำดับที่ถูกต้องหรือไม่? การเริ่มจากสิ่งที่เก็บง่ายที่สุด คือชนชั้นกลางในระบบสะท้อนวิธีคิดที่มุ่งรีดภาษีผู้ปฏิบัติตามกฎหมายแทนที่จะเริ่มจากกลุ่มที่หลบเลี่ยงภาษีได้มากกว่า

(2) มีความเป็นไปได้จริงหรือไม่ ภายใต้อำนาจทางการเมืองที่มีอายุสั้น รัฐบาลแทบไม่มีโอกาสผลักดันการปฏิรูปที่ยากกว่า เช่น การเก็บภาษีทรัพย์สิน การปิดช่องว่างการเลี่ยงภาษี หรือการจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะกลุ่ม หากทำไม่สำเร็จ สิ่งเดียวที่จะเกิดขึ้นคือ ชนชั้นกลางต้องจ่ายภาษีเพิ่ม แต่ความเหลื่อมล้ำยังอยู่เหมือนเดิม

3. ความเข้าใจปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ “ผิดฝั่ง”

นโยบายนี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า แรงงานที่มีรายได้สูง คือกลุ่มที่สร้างความเหลื่อมล้ำ เพราะใช้สิทธิลดหย่อนได้มากกว่า จึงควรถูก “เฉลี่ย” ให้มีรายได้หลังหักภาษีไม่ต่างกับคนรายได้ต่ำ นี่คือวิธีคิดที่เข้าใจปัญหาความเหลื่อมล้ำผิดจุดอย่างรุนแรง เพราะความเหลื่อมล้ำของไทยไม่เคยถูกขับเคลื่อนโดยคนทำงานที่มีความสามารถสูง แต่ถูกขับเคลื่อนโดย

  • นายทุนใหญ่ที่เสียภาษีในอัตราต่ำกว่า
  • เจ้าของที่ดินที่เก็บมูลค่าจากระบบแต่ไม่ถูกเก็บภาษีเท่าที่ควร

กลุ่มที่เลี่ยงภาษี ทั้งแบบผิดกฎหมาย (ปกปิดรายได้) และถูกกฎหมาย (ดารา อินฟลูเอนเซอร์ หรือฟรีแลนซ์ที่เปิดบริษัทเพื่อเสียภาษีน้อยลง)

นโยบายที่ไปลงโทษ “ผู้ทำงานหนักและโปร่งใส” แต่เว้นกลุ่มที่มีอำนาจต่อรองสูงกว่าไว้ คือสมการความเหลื่อมล้ำที่เลวร้ายที่สุดแบบหนึ่งในบริบทไทย

4. ผลเสียโดยตรงต่อชนชั้นกลาง กลุ่มที่แข่งขันเพื่อความอยู่รอด

รายได้ที่สูงขึ้นของชนชั้นกลางไม่ได้มาจากอภิสิทธิ์ แต่เกิดจากการเรียนหนัก ทำงานหนัก และดิ้นรนเอาตัวรอดในระบบทุนนิยมไทยที่เต็มไปด้วยพวกพ้อง พวกเขาไม่ได้เป็น “ผู้เอาเปรียบสังคม” แต่กลับเป็นผู้แบกรับภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาส่วนมากให้กับภาครัฐ

นโยบายนี้กลับสร้างสัญญาณว่า ผู้แพ้ในระบบจะได้รับรางวัล ส่วนผู้ชนะต้องจ่ายเพิ่ม

ยิ่งกว่านั้น ภาระภาษีปริมาณมากในกลุ่มที่รายได้เพียง “เกินเส้นแบ่งความรวยนิดเดียว” เช่น เกิน 1.5 ล้านบาทเพียง 1 บาท แต่ได้คืนลดลงปีละ 37,500 บาท คิดเป็นกว่า 2.5% ของรายได้ ทั้งที่หากเป็นคนรวยระดับ 10 ล้านบาทต่อปี สัดส่วนนี้แทบไม่กระทบชีวิตเลย

ช่องว่างนี้ เมื่อสะสมเป็นเวลา 20–30 ปี เทียบได้กับภาษีหลักแสนถึงหลักล้านบาท—จำนวนเงินที่สามารถเปลี่ยนเส้นทางชีวิตของครอบครัวชนชั้นกลางได้อย่างสิ้นเชิง ทั้งเรื่อง

  •  การดูแลพ่อแม่
  •  การส่งลูกเรียนโรงเรียนคุณภาพ
  •  การเก็บเงินฉุกเฉิน (รองรับการเจ็บป่วยไปจนถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติ)
  • การออมเพื่อเกษียณ

นี่คือการลดโอกาสของกลุ่มที่พยายาม “ขยับตัวขึ้น” มากที่สุดในระบบเศรษฐกิจไทย ซึ่งในระยะยาวจะเป็นผู้ที่ยืนได้ด้วยตนเอง ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการช่วยเหลือจากภาครัฐ

5. การแก้ความเหลื่อมล้ำต้องแก้ที่ต้นทาง ไม่ใช่ลงโทษผู้ที่ขยันกว่า

การปฏิรูปภาษีเพียงอย่างเดียวไม่เคยเพียงพอ และในบริบทไทย—อาจไม่มีวันสำเร็จหากไม่ปฏิรูปสถาบันอื่นควบคู่กัน สิ่งที่ต้องแก้ไปพร้อมกับภาษีคือ

  • การปฏิรูปรายจ่ายรัฐ
  • การลดการรั่วไหลและคอร์รัปชัน
  •  การเพิ่มประสิทธิภาพของงบประมาณ
  • การลดอภิสิทธิ์ของทุนผูกขาด
  •  การเปิดการแข่งขันให้ SME และธุรกิจใหม่เข้าถึงโอกาส

สำคัญที่สุดคือ การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำต้องเริ่มที่ “โอกาส” ไม่ใช่ “ผลลัพธ์” คือการเพิ่มทักษะ ยกระดับแรงงานรายได้น้อยให้เข้าสู่งานรายได้สูงได้จริง ไม่ใช่การทำให้รายได้หลังภาษีของทุกคนใกล้กันมากขึ้นเป็นรายปี และต้องแตะไปถึงรากเหง้าของระบบที่กดทับแรงงานทุกกลุ่มไม่ให้สามารถเติบโตได้มากกว่านี้ (Crony Capitalism)

บทสรุป นโยบายที่ทำร้ายศรัทธาของผู้ปฏิบัติตามกฎหมาย

นโยบายยกเลิกลดหย่อนภาษีจึงเป็นการแก้ปัญหาด้วย “ค้อนตัวเดียว” ในสังคมที่ปัญหามีหลายมิติ ซับซ้อน และฝังลึกกว่าที่ผู้กำหนดนโยบายเข้าใจ การเพิ่มภาษีชนชั้นกลางอาจทำให้รัฐมีรายได้สูงขึ้นในระยะสั้น แต่จะแลกด้วยความเชื่อมั่นที่สึกกร่อน ความรู้สึกไม่เป็นธรรม และความเหลื่อมล้ำที่ฝังลึกยิ่งกว่าเดิม

หมายเหตุ: บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่ได้สะท้อนความเห็นขององค์กรต้นสังกัดแต่อย่างใด