KEY
POINTS
โลกกำลังก้าวเข้าสู่ “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” (Aged Society) ในหลายประเทศ ซึ่งนำมาซึ่งความท้าทายด้านการดูแลสุขภาพ การเงิน และความเป็นอยู่ของผู้สูงอายุ หนึ่งในความปรารถนาสูงสุดของผู้สูงวัย ก็คือการมี “คุณภาพชีวิตที่ดี” (Quality of Life) สามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ มีศักดิ์ศรี มีความปลอดภัยในสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย ซึ่งประเทศไทยเราก็เป็นเช่นนั้น ในบริบทนี้ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) ไม่ได้เป็นเพียงนวัตกรรม แต่ได้กลายมาเป็น “เกราะป้องกันรอบด้าน” ที่ทรงพลังที่สุด ในโลกของเทคโนโลยี AI สามารถประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อนได้อย่างรวดเร็ว เพื่อมอบการดูแลที่แม่นยำ เป็นส่วนตัว และทำงานในฐานะผู้ช่วยที่เฝ้าระวังภัยตลอด 24 ชั่วโมง เรามาสำรวจดูว่า AI เข้ามาพลิกโฉมการดูแลผู้สูงวัยในมิติสำคัญต่างๆได้อย่างไรกันบ้างนะครับ
การปฏิวัติการดูแลสุขภาพในยุคนี้ ได้เปลี่ยนจากการตั้งรับ ไปสู่การป้องกันเชิงรุก ด้วยเทคโนโลยี AI ซึ่งได้สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ในอุตสาหกรรมทางการแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการดูแลสุขภาพของผู้สูงวัย ซึ่งมักมีโรคเรื้อรังที่มีทั้งที่ติดต่อและไม่ติดต่อ ความเสื่อมตามวัยหลายอย่างพร้อมกัน ทำให้การผุดขึ้นมาของโลกยุคใหม่นี้ นำมาซึ่งการวินิจฉัยโรคและการจัดการข้อมูลเชิงคาดการณ์ (Predictive Diagnostics) ซึ่งเทคโนโลยี AI มีศักยภาพในการประมวลผลข้อมูลสุขภาพขนาดมหาศาล (Big Data) เพื่อค้นหาแบบแผนการรักษา ที่มนุษย์อาจมองข้ามไป ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ภาพทางการแพทย์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI Algorithm) ซึ่งสามารถวิเคราะห์ภาพถ่ายทางการแพทย์ เช่น X-ray หรือ MRI และ CT Scan เพื่อตรวจหาความผิดปกติเล็กน้อย ที่อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง หรือโรคความเสื่อมของระบบประสาท (Neurodegenerative Diseases) ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำกว่ามนุษย์ ที่เราเรียกกันว่า “การแพทย์แบบพุ่งเป้า”(Precision Medicine) ทำให้แพทย์ไม่ต้องเหนื่อยมาก และผู้ป่วยหรือผู้สูงวัยเอง ก็ไม่ต้องมีปัญหาสุขภาพนั่นเอง
นอกจากนี้ การประเมินความเสี่ยงโรคเรื้อรังที่มีทั้งแบบที่สามารถติดต่อและไม่ติดต่อ โดยการรวบรวมข้อมูลประวัติการรักษา ผลเลือด และพฤติกรรมส่วนตัว ฯลฯเทคโนโลยี AI ก็สามารถคำนวณความน่าจะเป็น ที่ผู้สูงวัยจะป่วยเป็นโรคเบาหวาน หัวใจ หรือความดันโลหิตสูงในอนาคต ทำให้แพทย์สามารถปรับแผนการรักษา และการป้องกันได้ตั้งแต่เนิ่น ๆนั่นเอง นอกจากนี้ การเฝ้าระวังและการปรับเปลี่ยนการรักษาแบบเรียลไทม์ (Real-time Monitoring) เทคโนโลยี AI ที่มากับอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ (Wearable Devices) เช่น นาฬิกาหรือแหวนอัจฉริยะที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่มีระบบ AI สามารถตรวจวัดค่าทางสรีรวิทยาอย่างต่อเนื่อง เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ (Heart Rate) รูปแบบการนอนหลับ (Sleep Patterns) ระดับออกซิเจนในเลือด และความเครียด เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งไปยังระบบ AI เพื่อวิเคราะห์สภาพของสุขภาพร่างกาย หากพบการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติ เช่น ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ระบบจะแจ้งเตือนไปยังแพทย์หรือผู้ดูแลได้ทันทีเพื่อป้องกันภาวะฉุกเฉินโดยทันทีครับ
นอกจากนี้ ในระบบการจัดการยารักษาโรคอัจฉริยะ ที่เป็นตู้ยาหรือเครื่องจ่ายยา ที่ใช้ระบบเทคโนโลยี AI เข้ามาจัดการ ซึ่งสามารถจัดยาตามโดสที่ถูกต้อง และส่งเสียงเตือนหรือแจ้งเตือนผ่านแอปพลิเคชัน เมื่อถึงเวลาทานยา เพื่อลดความผิดพลาดในการใช้ยา ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้สูงอายุที่ต้องทานยาหลายชนิด เครื่องจ่ายยาหรือตู้ยาอัจฉริยะที่กล่าวมานี้ ปัจจุบันในประเทศไทยเรา ก็ได้มีการนำเข้ามาใช้แล้ว ในสถานพยาบาลหรือโรงพยาบาลใหญ่ๆหลายแห่งแล้ว เพื่อช่วยลดภาระของเภสัชกรและผู้ป่วยเองครับ
นอกจากที่กล่าวมา เทคโนโลยี AI ที่นำมาใช้กับการดูแลรักษาทางด้านการแพทย์แล้ว ยังมีการนำมาใช้กับการดูแลผู้สูงวัยได้อีกด้วย เช่นในด้านของความปลอดภัยและการป้องกันการพลัดตกหกล้มในผู้มีภาวะสมองเสื่อม ซึ่งผู้สูงวัยหรือผู้ป่วยมักจะมีปัญหาอุบัติเหตุที่พบบ่อยที่สุด ซึ่งทำให้มีอันตรายถึงชีวิตในที่สุด ในส่วนของผู้สูงวัย ที่นำเอาเทคโนโลยี AI มาใช้ ที่พบมากก็คือการป้องกัน การพลัดตกหกล้ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อม (Dementia) หรือโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงมากถึง 2-3 เท่าของคนปกติ เทคโนโลยี AI ได้ถูกนำมาใช้ในการเสนอมาตรการป้องกัน ที่ล้ำหน้ากว่าระบบเตือนภัยแบบเดิมที่คุ้นเคยกันอยู่ ที่ผมเคยเห็นมาเมื่อหลายปีก่อน ในขณะที่ไปดูงานที่ประเทศญี่ปุ่น ก็คือระบบตรวจจับการพลัดตกหกล้มแบบเชิงรุก และยังสามารถใช้ในการวิเคราะห์การเดิน (Proactive Fall Prevention) การเซ็นเซอร์ที่ไม่ต้องสัมผัส (Non-contact Sensors) แทนที่จะพึ่งพาปุ่มฉุกเฉิน ที่ผู้ป่วยอาจจะลืมกด เทคโนโลยี AI จะใช้เรดาร์หรือกล้องอินฟราเรด (Radar or Infrared Sensors) ที่ติดตั้งในบ้าน เพื่อติดตามการเคลื่อนไหวของผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในขณะนั้นเทคโนโลยีดังกล่าวมีราคาที่แพงมาก แต่ปัจจุบันนี้ราคาของเครื่องมือดังกล่าว ได้ลดลงมาเยอะมาก บางประเทศสามารถใช้เป็นเครื่องใช้ในครัวเรือนไปแล้วครับ
นอกจากนี้การทำงานของเทคโนโลยี AI ในการเรียนรู้ลักษณะการเดินปกติ (Gait) ของผู้สูงวัย หากเครื่องตรวจพบการเดินที่เปลี่ยนแปลงผิดปกติ ที่บ่งชี้ถึงความเสี่ยง เช่น การเดินเซ การยกเท้าที่ต่ำผิดปกติในขณะเดิน หรือความเร็วในการเดินที่ลดลงอย่างฮวบฮาบ ซึ่งเป็นสัญญาณก่อนการพลัดตกหกล้ม ระบบจะส่งสัญญาณเตือนให้ผู้ดูแล ให้เข้าไปช่วยเหลือทันที ก่อนที่ผู้สูงวัยจะมีการพลัดตกหกล้มเกิดขึ้นจริง
การกำหนดขอบเขตปลอดภัย สำหรับผู้ป่วยสมองเสื่อม การติดตั้งอุปกรณ์ติดตามตัวเล็กๆ ที่เชื่อมต่อกับเครื่องมือที่ใช้เทคโนโลยี AI ที่ช่วยให้ผู้ดูแลสามารถกำหนด “ขอบเขตปลอดภัย” (Safe Zone) ภายในบ้าน หรือบริเวณใกล้เคียง หากผู้ป่วยสมองเสื่อมมีอาการเดินหลง และก้าวข้ามขีดจำกัดที่กำหนดขอบเขตปลอดภัย เจ้าเครื่องเทคโนโลยี AI ก็จะแจ้งเตือนทันที เพื่อป้องกันการพลัดหลงและลดความเสี่ยง จากการพลัดตกหกล้มในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยได้ง่ายๆ
ดังที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นว่าในอนาคตอันใกล้นี้ ปัญญาประดิษฐ์หรือเทคโนโลยี AI ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็น “เกราะป้องกันรอบด้าน” ที่ขาดไม่ได้ในการดูแลผู้สูงอายุยุคใหม่ มันช่วยให้ผู้สูงวัยสามารถใช้ชีวิตได้อย่าง ปลอดภัย มีสุขภาพดี และมีอิสระ ในบ้านของตนเองได้นานขึ้น (Aging in Place) แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราต้องระลึกไว้เสมอว่า ถึงอย่างไรเทคโนโลยี AI ก็ไม่สามารถและไม่ควรเข้ามาแทนที่ความรัก ความอบอุ่น และการดูแลเอาใจใส่จากมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ บทบาทของเจ้าเทคโนโลยี AI คือการเป็นได้เพียง “เครื่องมือเสริม” ที่ช่วยลดภาระงานของผู้ดูแล ทำให้พวกเขามีเวลาที่มีคุณภาพมากขึ้น ในการสร้างปฏิสัมพันธ์ทางอารมณ์กับผู้สูงวัยเท่านั้น ดังนั้นจงอย่าใช้มันจนลืมนึกถึงพ่อ-แม่อันเป็นที่รักของเรานะครับ