ความเหมือนและความต่างของไวรัสตับอักเสบ A และ B

25 เม.ย. 2568 | 22:30 น.

ความเหมือนและความต่างของไวรัสตับอักเสบ A และ B คอลัมน์ ชีวิตบั้นปลายของชายชรา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

KEY

POINTS

  • ไวรัสตับอักเสบ A และ B มีลักษณะคล้ายกันในเรื่องอาการเบื้องต้นและสามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน แต่แตกต่างกันในด้านวิธีการติดต่อ ความรุนแรง และแนวโน้มการเกิดโรคเรื้อรัง
  • ไวรัสตับอักเสบ A ติดต่อผ่านอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อน มักไม่เรื้อรัง ส่วนไวรัสตับอักเสบ B ติดต่อผ่านเลือดและของเหลวในร่างกาย และมีโอกาสเป็นเรื้อรังสูง โดยเฉพาะในเด็กทารก
  • การช่วยเหลือผู้ประสบภัยในเมียนมาจากเหตุแผ่นดินไหว รวมถึงการส่งวัคซีนไวรัสตับอักเสบ A เพื่อป้องกันการระบาดจากการปนเปื้อนของน้ำดื่ม - เนื่องจากระบบสาธารณสุขในพื้นที่ยังไม่ทั่วถึง การฉีดวัคซีนจึงเป็นแนวทางเร่งด่วนเพื่อป้องกันโรคในระยะสั้นและระยะยาว

อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้เล่าถึงโรคไวรัสตับอักเสบ ที่มีทั้งหมดหลายชนิด แต่ที่คนไทยเราจะรู้จักกันดี ก็จะมีเพียงไวรัสอักเสบ B เสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ครั้งนี้เมื่อเกิดแผ่นดินไหวที่เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา ผมได้เร่งระดมความช่วยเหลือ เพื่อส่งวัคซีนไปช่วยระดมฉีดให้แก่ประชาชนผู้ประสบภัยที่นั่น หนึ่งในวัคซีนที่ผมจะนำไป ก็คือวัคซีนไวรัสอักเสบ A หลังจากที่บทความลงตีพิมพ์ไป ก็มีเสียงถามเข้ามาว่า แล้วไวรัสอักเสบ A และ B มีความเหมือนหรือความต่างกันอย่างไร? เพราะครั้งที่ผ่านมา ผมก็ได้อธิบายไปเพียงสั้นๆว่า โรคไวรัสตับอักเสบทั้งสองชนิด มีการติดต่อจากแหล่งกันได้อย่างไรบ้างเท่านั้นครับ

ต้องอธิบายว่าโรคไวรัสตับอักเสบ A และ ไวรัสตับอักเสบ B เป็น โรคติดเชื้อที่เกิดจากไวรัส ซึ่งโจมตีอวัยวะสำคัญของร่างกายอย่าง “ตับ” แม้ว่าทั้งสองโรคจะมีอาการเบื้องต้นคล้ายๆกัน แต่ที่จริงแล้วทั้งสองโรคนี้ มีลักษณะการติดเชื้อ วิธีการแพร่กระจายของผลกระทบ และความรุนแรงที่แตกต่างกันอย่างมาก ในวันนี้ผมจะพาไปเจาะลึกถึงความเหมือน ความแตกต่าง และภาวะแทรกซ้อน ที่อาจจะเกิดขึ้นจากไวรัสทั้งสองชนิดนี้ พร้อมแนวทางป้องกันเบื้องต้นที่ทุกคนควรรู้ครับ

เรามาดูความเหมือนกันของไวรัสตับอักเสบ A และ B กันก่อนนะครับ โรคทั้งสองชนิดนี้ เป็นโรคตับอักเสบที่เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งเข้าไปทำลายตับ จนทำให้เกิดอาการอักเสบและทำให้ตับทำงานผิดปกติ โดยผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ A หรือ B จะมีอาการเบื้องต้นที่คล้ายคลึงกัน เช่น อาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้ต่ำ ปวดกล้ามเนื้อ และในหลายรายจะมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม อุจจาระสีซีด ซึ่งเป็นอาการที่เกิดจากการที่ตับทำงานผิดปกตินั่นเอง อย่างไรก็ตามก็ยังดีที่ทั้งไวรัสตับอักเสบ A และ B ล้วนมีวัคซีนที่สามารถป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการได้รับวัคซีนก่อน ก็จะสามารถช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อ และลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสในชุมชนได้เป็นอย่างดีครับ

ส่วนความแตกต่างของไวรัสตับอักเสบ A และ B นั้นก็คือ ไวรัสตับอักเสบ Aจะเกิดจากสาเหตุไวรัสชนิดหนึ่งที่เรียกว่า HAV (Hepatitis A Virus) ส่วนไวรัสตับอักเสบ B จะเกิดจากไวรัสอีกชนิดหนึ่งคือ HBV (Hepatitis B Virus) ส่วนวิธีการติดต่อของไวรัสตับอักเสบ A จะติดต่อจากทางอาหารและน้ำปนเปื้อน ซึ่งในกรณีของการเกิดแผ่นดินไหวที่มีการชะล้างจากน้ำฝนที่เกิดจากพายุที่กระหน่ำลงมา ทำให้เกิดการล้างเอาสิ่งสกปรกที่มาจากซากศพที่ยังเก็บได้ไม่หมด น้ำที่ไหลลงบ่อน้ำคูคลองต่างๆ ที่คนนำมาบริโภค จึงเป็นพาหะที่นำเอาเชื้อไวรัสตับอักเสบ A ไปแพร่กระจายออกไปนั่นแหละครับ และจะมีระยะเวลาการฟักตัวของเชื้อจะใช้เวลาเร็วกว่า กล่าวคือใช้เวลาเพียงประมาณ15-50 วัน ซึ่งในด้านอาการของโรค ก็จะไม่เป็นโรคเรื้อรัง ส่วนไวรัสตับอักเสบ B ส่วนใหญ่จะแพร่กระจายหรือติดต่อผ่านทางเลือด หรือของเหลวในร่างกาย เช่น การมีเพศสัมพันธ์ หรือผ่านจากแม่ไปสู่ลูก ระยะเวลาการฟักตัวก็จะช้ากว่า คือประมาณ 30-180 วัน อาการของโรคก็อาจเป็นโรคเรื้อรัง และจะมีอาการโรคตับแข็ง มะเร็งตับ ตับวายเรื้อรังได้ครับ

ส่วนการป้องกันของทั้งสองโรค ในส่วนของไวรัสตับอักเสบ A เราควรจะต้องล้างมือก่อนทานอาหาร หรือควรบริโภคอาหารสุก ร้อน และสะอาดเท่านั้น ในส่วนของไวรัสตับอักเสบ B ควรจะต้องหลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน และการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย คงไม่ต้องบอกนะครับว่าเป็นอย่างไร?

พอเล่ามาถึงตรงนี้ อาจจะมีคนสงสัยว่าความรุนแรงของโรค ว่าโรคไหนอันตรายกว่ากัน? ต้องบอกว่าโดยทั่วไปแล้ว ไวรัสตับอักเสบ B ถือว่าร้ายแรงกว่าไวรัสตับอักเสบ A เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นโรคเรื้อรังได้ โดยเฉพาะในเด็กทารกและเด็กเล็ก ซึ่งหากไม่รักษาหรือควบคุมอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะโรคตับแข็ง(Cirrhosis) หรือมะเร็งตับ(Hepatocellular Carcinoma)ในอนาคตได้ครับ ในขณะที่ผู้ใหญ่ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ B แบบเฉียบพลัน จะหายเองประมาณ 90–95% ในขณะที่เด็กทารกที่ติดเชื้อจากแม่ มีโอกาสกลายเป็นโรคเรื้อรังสูงถึง 90% เลยครับ อีกทั้งโรคเรื้อรังก็จะเพิ่มความเสี่ยงของโรคตับแข็ง และมะเร็งตับอย่างมากในระยะยาวเช่นกัน ในทางกลับกัน ไวรัสตับอักเสบ A มักไม่รุนแรงในผู้ป่วยส่วนใหญ่ และไม่กลายเป็นโรคเรื้อรัง อาการจะหายไปภายในไม่กี่สัปดาห์ และเมื่อหายแล้วจะมีภูมิคุ้มกันถาวรต่อเชื้อชนิดนี้ครับ ส่วนการรับการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบ A ต้องฉีดทั้งหมด 2 โดส โดยฉีดห่างกัน 6 เดือน สำหรับผู้ใหญ่ที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน หากเคยฉีดครบแล้วหรือเคยติดเชื้อมาก่อน จะมีภูมิคุ้มกันตลอดชีวิตครับ ในส่วนวัคซีนไวรัสตับอักเสบ B มักจะฉีดกันทั้งหมด 3 โดส ซึ่งเท่าที่ผมเคยเห็นมาในประเทศไทยเรา ส่วนให้คุณหมอก็จะฉีดให้ตั้งแต่สมัยเด็กๆเรียบร้อยหมดแล้วครับ ในส่วนของประเทศเมียนมา ซึ่งสาธารณสุขพื้นฐานจะด้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะมีการฉีดวัคซีนให้ด้วยหรือเปล่าครับ ดังนั้นการเข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยในครั้งนี้ ผมจึงต้องมีการเตรียมวัคซีนไวรัสตับอักเสบ A ไปฉีดให้แก่ประชาชนเขา เพื่อจะได้ไม่เกิดการสูญเสียในอนาคตนั่นเองครับ