หนี้ครัวเรือนลด หนี้เสียพุ่ง สัญญาณเตือนเศรษฐกิจ

30 ส.ค. 2568 | 00:30 น.

หนี้ครัวเรือนลด หนี้เสียพุ่ง สัญญาณเตือนเศรษฐกิจ : บทบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,127 วันที่ 31 สิงหาคม-3 กันยายน พ.ศ. 2568

KEY

POINTS

  • หนี้ครัวเรือนโดยรวมหดตัวลงครั้งแรกในรอบหลายไตรมาส แต่คุณภาพหนี้กลับน่ากังวล โดยหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) พุ่งสูงขึ้นถึง 1.19 ล้านล้านบาท
  • การลดลงของหนี้ไม่ได้สะท้อนว่าฐานะการเงินของคนไทยดีขึ้น แต่เกิดจากสถาบันการเงินที่เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ และครัวเรือนไม่กล้าก่อหนี้ใหม่ ส่งผลให้กำลังซื้อในประเทศชะลอตัว
  • สถานการณ์หนี้เสียที่เพิ่มขึ้นเป็นสัญญาณเตือนถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจ ซึ่งอาจสร้างวงจรเชิงลบที่กระทบเสถียรภาพสถาบันการเงิน การลงทุน และจำกัดประสิทธิภาพของนโยบายการเงิน

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ ‘สภาพัฒน์’ รายงานหนี้สินครัวเรือนล่าสุด ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 พบว่า หดตัวลง 0.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นับเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบหลายไตรมาส ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ปรับตัวลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ 87.4% จากไตรมาสก่อนหน้าที่ 88.4% 

แม้ภาพรวมยอดหนี้จะหดตัวลงเล็กน้อย ผลจากการที่สถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อใหม่ และครัวเรือนเองก็ระมัดระวังการก่อหนี้มากขึ้น แต่หากดูคุณภาพของหนี้ กลับมีสัญญาณที่น่ากังวลอย่างยิ่ง จากยอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) สูงถึง 1.19 ล้านล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่า ครัวเรือนจำนวนมากกำลังประสบปัญหาในการชำระหนี้อย่างรุนแรง 

ขณะที่หนี้ที่กล่าวถึงพิเศษ (SM) คือ หนี้ที่ค้างชำระ ไม่เกิน 90 วัน ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่า อาจจะกลายเป็นหนี้เสียในอนาคต ยังมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยคิดเป็น 4.25% ของสินเชื่อรวม โดยเฉพาะคุณภาพสินเชื่อในกลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และ สินเชื่อบัตรเครดิต เป็นกลุ่มที่น่าเป็นห่วงที่สุด เนื่องจากมีแนวโน้มการผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน 

ภาพที่เกิดขึ้นนี้เปรียบเสมือนร่างกายที่นํ้าหนักลดลง แต่กลับตรวจพบปัญหาสุขภาพที่น่ากังวล การที่ยอดหนี้รวมลดลงไม่ได้แปลว่า ฐานะทางการเงินของคนไทยดีขึ้นเสมอไป แต่สะท้อนถึงสภาวะ ‘ไม่กล้า’ และ ‘ไม่ให้’ ก่อหนี้ใหม่ ซึ่งสถานการณ์นี้ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ และสร้างความน่ากังวลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในหลายมิติ  

ไม่ว่าจะเป็นกำลังซื้อในประเทศจะถูกแช่แข็ง ซึ่งจะเป็นผลกระทบที่ชัดเจนและรุนแรงที่สุด เมื่อคนไม่ก่อหนี้ใหม่เพื่อการบริโภค (เช่น ซื้อรถยนต์, เครื่องใช้ไฟฟ้า, ต่อเติมบ้าน) และมุ่งนำเงินไปชำระหนี้เก่า การใช้จ่ายในประเทศซึ่งเป็นเครื่องยนต์สำคัญของ GDP ก็จะชะลอตัวลงอย่างมาก ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวมเป็นไปได้ยาก 

ขณะที่ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของสถาบันการเงิน แม้ธนาคารไทยจะยังแข็งแกร่ง แต่เอ็นพีแอลที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ย่อมกัดกร่อนผลกำไร เพราะธนาคารต้องตั้งสำรองหนี้สูญเพิ่มขึ้น และอาจส่งผลให้ธนาคารยิ่งระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อใหม่มากขึ้นไปอีก

กลายเป็น ‘วงจรเชิงลบ’ ที่ฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจ การลงทุนภาคเอกชนชะงักงัน เมื่อกำลังซื้อในประเทศอ่อนแอ ผู้ประกอบการและภาคธุรกิจย่อมขาดความมั่นใจในการลงทุนขยายกิจการ เพราะไม่แน่ใจในอุปสงค์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การลงทุนใหม่ๆ จึงเกิดขึ้นได้ยาก 

สุดท้ายคือ ข้อจำกัดในการดำเนินนโยบายการเงิน ภาวะหนี้ครัวเรือนที่สูงและเปราะบาง ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดำเนินนโยบายการเงินได้ลำบาก แม้จะมีการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ก็จะไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร เพราะครัวเรือนที่หนี้ท่วมหัวก็ไม่สามารถกู้เพิ่มได้อยู่ดี และอาจนำเงินที่ประหยัดได้จากดอกเบี้ยที่ลดลงไปจ่ายคืนหนี้แทนที่จะนำไปบริโภค

การหดตัวของหนี้ครัวเรือนในครั้งนี้จึงไม่ใช่ “ข่าวดี” แต่เป็น “สัญญาณเตือน” ถึงความอ่อนแอของกำลังซื้อ และความเชื่อมั่นที่ลดลง ขณะที่หนี้เสียที่เพิ่มขึ้นตอกยํ้าว่า คนกลุ่มใหญ่ในสังคมยังคงมีฐานะทางการเงินที่เปราะบางอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่ท้าทายการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป

บทบรรณาธิการ หน้า 6 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจปีที่ 45 ฉบับที่ 4,127 วันที่ 31 สิงหาคม-3 กันยายน พ.ศ. 2568